สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 2 พิษณุโลก จัดการอบรมพัฒนานักสื่อสารหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) จ.พิษณุโลก

เพื่อขยายเครือข่ายนักสื่อสารที่มีความรู้และเข้าใจสิทธิประโยชน์บัตรทอง ที่ถูกต้อง

วันที่ 28 มกราคม 2564 เวลา 09.30 น. โรงแรมท็อปแลนด์ จังหวัดพิษณุโลก ทันตแพทย์สันติ ศิริวัฒนไพศาล ผอ.สปสช.เขต 2 พิษณุโลก เป็นประธาน เปิดการอบรม พัฒนานักสื่อสารหลักประกันสุขภาพบัตรทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีสื่อมวลชนจังหวัดพิษณุโลก ผู้นำท้องที่ผู้นำท้องถิ่นที่ดูแลหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน เข้าร่วมการอบรม

ทันตแพทย์สันติ ศิริวัฒนไพศาล ผอ.สปสช.เขต 2 พิษณุโลก เปิดเผยว่า การอบรมในครั้งนี้เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับรู้สิทธิและหน้าที่ของผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพ หรือ บัตรทอง โดยหน่วยงานใดรับผิดชอบเรื่องสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสิทธิบัตรทอง หรือสิทธิ 30 บาท คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. พื้นที่รับผิดชอบของ สปสช.เขต 2 พิษณุโลก ประกอบด้วย จ.พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์ โทรศัพท์ 055-245111 ถ้าจะติดต่อ “สายด่วน สปสช. ” สอบถามข้อมูลการใช้สิทธิบัตรทอง หรือ สิทธิ 30 บาท ต้องโทร.หมายเลขสายด่วน สปสช. 1330 ให้บริการข้อมูลสิทธิบัตรทอง รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ บริการ 24 ชั่วโมง กรณีเบอร์บ้าน 1  บาท/ครั้ง, มือถือ 1 บาท/15 นาที สามารถตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาล (ระบบอัตโนมัติ) โทร. สายด่วน สปสช. 1330  กด 2 ตามด้วยเลขประจำตัวประชาชน และผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) เปลี่ยนหน่วยบริการประจำได้ปีละไม่เกิน 4 ครั้ง ติดต่อด้วยตนเองได้ที่สถานีอนามัย/โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน หรือ ผ่านโทรศัพท์มือถือ  แอปพลิเคชั่น สปสช. โดยสิทธิบัตรทองคุ้มครองด้านบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคด้วย ไม่เฉพาะการรักษาเท่านั้น เช่น วางแผนครอบครัว ฝากครรภ์ วัคซีนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคทั้งแม่และเด็ก ตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทย เช่น ไอกรน คอตีบ บาดทะยัก หัดเยอรมัน เป็นต้น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลสำหรับกลุ่มเสี่ยง ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม/มะเร็งปากมดลูก ตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง/เบาหวานในกลุ่มเสี่ยง และใช้สิทธิรักษาโรคที่ต้องผ่าตัดและโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้โดยผู้มีสิทธิบัตรทองหากแพทย์วินิจฉัยเป็นโรคที่ต้องผ่าตัด และเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ก็สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น การรักษาโรคมะเร็งด้วยการฉายแสง/ทำคีโมหรือยาเคมีบำบัด ผ่าตัดสมอง ผ่าตัดหัวใจ รักษาโรคไตวายเรื้อรัง ระยะสุดท้าย เป็นต้น

สปสช. ได้ลงนามความร่วมมือกับ อบต./เทศบาล จัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ (กปท.) เพื่อดำเนินกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ให้กับกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม ได้แก่ แม่และเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สนใจสามารถเสนอโครงการเพื่อขอรับทุนไปจัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพและ ป้องกันโรคให้กับกลุ่มเป้าหมายนี้ได้ การจองวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ผ่านมือถือแอปเป๋าตังได้
• จองผ่าน แอปพลิเคชัน เป๋าตังเข้าเมนู Health Wallet เฉพาะผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปทุกสิทธิ
• จองผ่านเจ้าหน้าที่ ณ หน่วยบริการใกล้บ้านหรือ รพ. ที่รักษาเป็นประจำ (ตามสิทธิการรักษาพยาบาล)
• สามารถจองสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. – 31 มี.ค. 64 และเข้ารับการฉีดวัคซีน ระหว่างวันที่ 1 พ.ค.- 31 ส.ค. 64     7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1. หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์มากกว่า 4 เดือน 2. เด็ก อายุ 6 เดือน-2 ปี (เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนเต็ม จนถึงอายุ 2 ปี 11 เดือน 29 วัน) 3. ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค คือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย   เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด 4. ผู้สูงอายุ มากกว่า 65 ปี 5. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) และ โรคอ้วน น้ำหนักตัวมากกว่า 100 กก. หรือ  ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
นโยบายยกระดับบัตรทอง “ย้ายหน่วยบริการ เปลี่ยนสิทธิทันที”

เดิมนั้นการลงทะเบียนย้ายหน่วยบริการประจำ (โรงพยาบาล) ของผู้มีสิทธิบัตรทอง จะสามารถใช้สิทธิโรงพยาบาลแห่งใหม่ ภายหลังแจ้งความจำนงเปลี่ยนหน่วยบริการ ประมาณ 1 เดือน เนื่องจากข้อมูลสิทธิบัตรทองจะปรับปรุง ทุกวันที่ 15และ 28 ของทุกเดือน อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ประชาชนจะสามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการใหม่ได้ทันทีหลังจากที่ได้มีการเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ ไม่ต้องรอ 15 วันหรือ 1 เดือนเหมือนที่ผ่านมา ทั้งช่องทางการลงทะเบียนผ่านโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลรัฐใกล้บ้าน หรือผ่านแอปพลิเคชัน สปสช. แต่ทั้งนี้ ไม่เกิน 4 ครั้งต่อปีงบประมาณ และยึดหลักการลงทะเบียนโดยเลือกหน่วยบริการใกล้บ้าน/ที่ทำงาน มีเอกสารรับรองการอยู่อาศัย ณ หน่วยบริการแห่งใหม่นโยบายยกระดับบัตรทอง “มะเร็งรักษาที่ไหนก็ได้ที่พร้อม”
• ประชาชนสิทธิบัตรทองต้องได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง จึงจะเข้าสู่กระบวนการรักษาตามนโยบายนี้ เท่านั้น
• ไม่จำกัดเฉพาะหน่วยบริการที่เลือกไว้แต่เดิมเท่านั้น ให้ผู้ป่วยสามารถเลือกเข้ารับบริการในหน่วยบริการได้สะดวกมากขึ้น  แพทย์ผู้รักษาจะมีรายชื่อหน่วยบริการที่มีความพร้อม ซึ่งอาจเป็นหน่วยที่อยู่ใกล้บ้าน หรือหน่วยที่ไม่ต้องรอคิวนานโดยเฉพาะการรักษาที่สำคัญที่จะควบคุมระยะและการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง
• ไม่ต้องขอใบส่งตัวจากหน่วยประจำ เมื่อผู้ป่วยเลือกหน่วยบริการแล้ว ไม่ต้องขอใบส่งตัวจากหน่วยประจำ เพราะพยาบาลจะประสานงานส่งข้อมูลผู้ป่วยไปยังหน่วยบริการปลายทางให้แทน
• โรงพยาบาลที่มีศักยภาพและความพร้อม จะให้บริการตามมาตรฐานกับผู้ป่วย ครอบคลุมทุกวิธีการรักษา เช่น ผ่าตัด เคมีบำบัด รังสีรักษา ฮอร์โมน ครอบคลุมการตรวจติดตามหลังการรักษา ส่งข้อมูลเพื่อเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดจาก สปสช. แม้ว่าชื่อนโยบายจะบอกว่ารับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเดินเข้าไปรักษาแห่งใดก็ได้ เพราะโรคมะเร็งมีหลายชนิด และหน่วยบริการแต่ละแห่ง มีศักยภาพในการรักษาแตกต่างกัน จึงมีทั้งหน่วยบริการที่พร้อมและไม่พร้อมให้บริการ ฉะนั้น เมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง แพทย์ผู้รักษาจะให้รายชื่อหน่วยบริการที่พร้อม และตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยว่าควรไปรักษาต่อที่ใดผู้มีสิทธิบัตรทอง ใช้สิทธิตรวจคัดกรอง-รักษากรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
• ตรวจคัดกรองและตรวจทางห้องปฏิบัติการ ให้กับประชาชนทุกสิทธิและผู้ที่รับบริการในสถานกักกันในโรงพยาบาล ตาม
หลักเกณฑ์ผู้สงสัยเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค เช่น มีอาการเสี่ยง มีประวัติเสี่ยงในช่วง 14 วันก่อนมีอาการ • การรักษาพยาบาลทั้งกรณีผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ตั้งแต่การตรวจห้องปฏิบัติการยืนยันการติดเชื้อที่รวมค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล สำหรับบุคลากรห้องปฏิบัติการยืนยันการติดเชื้อและบุคลากรเก็บตัวอย่างส่งตรวจ ค่าห้องควบคุมปลอดเชื้อ หรือห้องดูแลการรักษารวมค่าอาหาร หอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด-19 ยารักษาเฉพาะผู้ป่วยโรคติดเชื้อโควิด-19 และรถรับส่งต่อ

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก