“พัฒนา”สส.สกลนคร  ชี้กรณีชาวบ้านเหล่าใหญ่ อ.ส่องดาว ถูกฟ้องขับไล่ออกจากที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน เร่งหาทางให้การช่วยเหลือ ระบุให้ป่าไม้ยกเลิกกรณีพื้นที่ทับซ้อนกัน กลุ่มชมรมนักกฏหมายเพื่อสิทธิที่ทำกินภาค อีสาน ลงพื้นที่เพื่อพิจารณาหาทางช่วยเหลือ

“พัฒนา”สส.สกลนคร  ชี้กรณีชาวบ้านเหล่าใหญ่ อ.ส่องดาว ถูกฟ้องขับไล่ออกจากที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน เร่งหาทางให้การช่วยเหลือ

ระบุให้ป่าไม้ยกเลิกกรณีพื้นที่ทับซ้อนกัน กลุ่มชมรมนักกฏหมายเพื่อสิทธิที่ทำกินภาค อีสาน ลงพื้นที่เพื่อพิจารณาหาทางช่วยเหลือ

 

วันที่ 5 ก.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ชาวบ้านหลายครอบครัว ที่บ้านเหล่าใหญ่ หมู่ 2 ต.วัฒนา อ.ส่องดาว จ.สกลนคร กำลังได้รับผล กระ ทบต้องไร้ที่ดินอยู่อาศัย หลังจากคำพิพากษาศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาตามศาลอุทธรณ์ ทำให้ชาวบ้านจำนวน 13 ครอบครัว ออกจากพื้นที่ ตามที่มีนายทุนฟ้องร้องอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดิน นส.3 ก  ขณะที่ชาวบ้านไม่ทราบมาก่อนว่าพื้นที่ดังกล่าวมาเจ้าของ ได้เข้าทำกินอยู่อาศัย โดยไม่มีผู้ใดมาอ้างกรรมสิทธิ์ เวลาผ่านมากว่า 40 ปี ปัจจุบันที่ดินดังกล่าว ตั้งอยู่ริมเส้นทางสายสำคัญ ที่เชื่อมระหว่างอำเภอส่องดาว – อำเภอสว่างแดนดิน และฝั่งตรงข้ามเป็นแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติดงพันนา – ดงพระเจ้า

 

นายขจรศักดิ์ เบ็ญชัย อาชีพทนายความ และเลขาธิการ ชมรมนักกฎหมายเพื่อสิทธิที่ทำกิน ภาคอีสาน (ก.พอ.)กล่าวระหว่างในการถ่ายทำคลิป การออกรายการทาง ทีวี ช่องหนึ่งว่า ชาวบ้านเหล่าใหญ่ กว่า 23 ครอบครับ หรือ 125 คน ที่ได้รับผลกระทบ จากปัญหาการออกเสกสารสิทธิ ทับซ้อนของชาวบ้านกับรายอื่น ชาวบ้านอ้างว่าอยู่มาก่อนที่จะมีการประกาศ เป็นป่าสงวน และต่อมาก็ไม่ได้ทราบว่ามีการออกหนังสือแสดงสิทธิมาทับกับที่ของชาวบ้าน และจนมีการฟ้องร้องกัน ในครั้งแรก 7 ครอบครับ และปรากฏว่า เมื่อถึงที่สุด ชาวบ้านต้องถูกฟ้องขับไล่ ออกจากที่ดินตนเอง ต้องไปอาศัยศาลางกลางหมู่บ้าน และกลุ่มชาวบ้านจำนวน 13 ครอบครัว ที่อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ที่อยู่ในพื้นที่ติดกัน ก็ต้องเตรียมขนย้าย ทรัพย์สิน เครื่องใช้ในครัวเรือน ต้องออกนอกพื้นที่ดิน ที่อาศัย เหมือนกับ 7 ครอบครัวที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.63 ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ออกจากที่ดิน ห้ามยุ่งเกี่ยว และทำประโยชน์  ทำให้ทุกวันนี้ชาวบ้านต่างกังวลว่า จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุม หรือบังคับใช้กฎหมายให้ย้ายออกนอกพื้นที่เพราะยังไม่รู่ว่าจะต้องย้ายออกไปอยู่ที่ใด
“การที่ชมรมนักกฎหมายเพื่อสิทธิที่ทำกิน ภาคอีสาน ลงมาเพื่อทำให้เป็นตัวอย่าง ในการเสนอความเดือดร้อน ปัญหาของชาวบ้านไปยังหน่วยงานหรือรัฐบาล ได้แก้ไขและออกฎหมายให้มีการออกเอกสารสิทธิให้ชาวบ้านต่อไป”

ทางด้านนางนก เอี้ยง หนูสี ผู้ที่ได้รับผลกระทบคนหนึ่งกล่าวว่า พวกตนก็ไม่ทราบจะย้ายไปที่ใด การเดินทางไปยื่นหนังสือหรือบอกเรื่องราวของชาวบ้าน ก็ทำมากว่า 10 ปีแล้ว และวันนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะหากไม่ออกจากที่ดินหรือบ้านของตนเองที่อยู่มานาน ก็กลัวจะถูกจับติดคุกเหมือน 7 ครอบครัวที่ผ่านมา ก็ขอวิงวอนรัฐบาลลงมาดูแลชาวบ้านด้วย

ทางด้านนายธนชาติ ไชยทองพันธ์ ที่ประธานปรึกษาชมรมนักกฎหมายเพื่อสิทธิที่ทำกิน ภาคอีสาน(กพอ.)กล่าวว่า เรื่องแบบนี้มีอยู่เกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย และก็เป็นความจริงว่า ชาวบ้านจะอยู่มาก่อนที่จะมีการประกาศเป็นป่าสงวนหรืออุทยาน พอประกาศออกมาแล้ว ก็ให้ชาวบ้านไปแสดงหรือบอกว่าทีชาวบ้านอยู่ตรงที่ใดบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่า ลำพังชาวบ้านจะเดินทางมาติดต่อราชการในอำเภอหรือจังหวัดมันลำบากมากในอดีต แต่คนมีเงินหรือนายทุน ก็จะหาทางออกหนังสือแสดงสิทธิ จนเป็นที่มาของการออกทับซ้อนที่ชาวบ้านอยู่ เมื่อเกิดการฟ้องร้อง ก็เป็นอย่างที่เห็น เพราะเชื่อตามเอกสาร  ปัญหานี้มีมานานแล้วรัฐบาลไหนจะแก้ให้ชาวบ้าน ไม่ใช่พอเวลาจะเลือกตั้ง ก็มาหาเสียงแบบนั้นแบบนี้ สุดท้ายก็เหมือนเดิม ชาวบ้านก็เดือดร้อน อยากให้มีการแก้ไขด้วย

 

 

ทางด้าน นายพัฒนา สัพโส สส.สกลนครพรรคเพื่อไทย เปิดว่า ปัญหาเรื่องน้ำหรือดินป่าไม้ นี้เมื่อเร็วนี้ ได้มีคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน คณะทำงานภาคอีสานเหนือ ได้ลงพื้นที่ มีนายฉลาด ขามช่วง ประธานคณะทำงานและ สส.ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ได้มีติดตามและไปที่บ้านเหล่าใหญ่ เพื่อรับฟังปัญหาและนำไปพิจารณา ซึ่งทางรัฐบาลก็ได้ทราบปัญหาและ สส. ในพื้นที่กำลังเรื่องเพื่อสรุปความเห็นส่งให้กรมที่ดิน ปาไม้ ให้ดำเนินการเพื่อเพิกถอนเอกสารสิทธินายทุน เมื่อเพิกถอนแล้วก็จะกลับเป็นของรัฐ หมายถึงป่าไม้ จะได้จัดสรรชาวบ้านได้ทำกินต่อไป ทั้งนี้เพื่อชะลอการบังคับคดี ขับไล่ชาวบ้านให้ออกจากที่ดิน กำลังเร่งดำเนินการ

ทีม ข่าว นสพ.คน นคร..สกล