เกษตรกรชี้เหลือ 6 วัน ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมยกเลิกสารเคมีการเกษตรอันตราย 2 ชนิด จะมีผลบังคับใช้แล้ว
แต่ภาครัฐยังไม่มีมาตรการบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเกษตรกรออกมา
ลั่นจะร้องศาลปกครองให้ชะลอการยกเลิกออกไป ด้านกรมวิชาการเกษตรเตรียมออกประกาศห้ามครอบครองพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ให้เกษตรกรนำไปคืนร้านค้า
นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า ได้หารือร่วมกับผู้แทนกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิดได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย มันสำปะหลัง และไม้ผลเตรียมจะร้องศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราว โดยชะลอการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ซึ่งตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้ โดยระบุว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังไม่มีมาตรการบรรเทาผลกระทบใดๆ ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกเลิกพาราควอตซึ่งเป็นสารป้องกันกำจัดวัชพืช หากยกเลิกแล้วจะใช้สารหรือวิธีการใดทดแทน โดยไม่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อเกษตรกรได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐ เกษตรกรจะร้องต่อศาลปกครองแน่นอน
ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรได้ส่งรถติดป้ายและประกาศให้เกษตรกรนำพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสไปคืนร้านค้าเนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน สารเคมีทั้ง 2 ชนิดจะเป็นวัตถุอันตรายห้ามครอบครอง เมื่อถึงกำหนดจะเททิ้งเพราะหากนำไปคืนร้านค้าต้องเสียค่ารถและร้านค้าก็ไม่คืนเงินที่ซื้อไปด้วย โดยผู้จำหน่ายแจ้งว่า ไม่มีมาตรการออกมาเช่นกันว่า เมื่อทางร้านค้าไปคืนแก่บริษัทผู้นำเข้าและผู้ผลิตจะได้เงินคืน จึงทำได้เพียงรับสารเคมีจากเกษตรกรไว้ แต่ไม่คืนเงิน
มีรายงานจากกรมวิชาการเกษตรว่า ได้ออก (ร่าง) ประกาศห้ามครอบครอง นำเข้า ผลิต จำหน่าย นำผ่าน ส่งออกสารพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตรายยกระดับเป็นวัถตุอัตรายชนิดที่ 4 ซึ่งมีกรมวิชาการเกษตรต้องออกประกาศมาตรการและกรอบระยะเวลาในการเก็บคืนสารเคมีทั้ง 2 ชนิดเพื่อทำลายต่อไป โดยตาม (ร่าง) ประกาศกรมวิชาการเกษตรระบุว่า นับจากวันที่ 1 มิถุนายน เกษตรกรต้องนำไปคืนร้านจำหน่ายใน 90 วัน ร้านจำหน่ายต้องนำไปคืนบริษัทผู้นำเข้าและผู้ผลิตใน 180 วัน ส่วนบริษัทผู้นำเข้าและผู้ผลิตจะต้องนำเสนอแผนการเก็บและทำลายต่อกรมวิชาการเกษตรใน 365 วันเพื่อที่สารวัตรเกษตรจะติดตามได้ว่า นำไปเก็บที่ใด วิธีการเก็บถูกต้องหรือไม่ รวมทั้งควบคุมให้มีการเผาทำลายตามวิธีการที่ถูกต้องทั้งหมด ซึ่งอยู่ระหว่างที่อธิบดีกรมวิชาการเกษตรจะลงนาม เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกาศกรมวิชาการเกษตรฉบับนี้จึงจะมีผลบังคับใช้