ชวนไปสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี
จังหวัดกาญจนบุรี โดยท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาญจนบุรี จัดให้มีโครงการโครงการส่งเสริมอัตลักษณ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรมเพื่อความยั่งยืน กิจกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวชุมชนใหม่ให้เป็นที่รู้จักร และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ส่งเสริมให้ประชาชนในจังหวัดมีรายๆได้ และอาชีพจากการท่องเที่ยว เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียน ในจังหวัดกาญจนบุรี โดยทริปนี้ เรานำเข้าสู่เส้นทางที่ 2 ไปเที่ยวกันที่ชุมชนบ้านวังกะ และชุมชนบ้านเวียคะดี้ อำเภอสังขละบุรี
เริ่มทริปกันเลยน่ะครับ หลังจากที่คณะของ สำนักงาน่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกาญจนบุรี วัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ประกอบการ และสื่อมวลสื่อมวลได้เดินทางถึงยังจุดหมายแรก คือ อ.สังขละบุรี ก็ได้มีคณะของพัฒนาชุมชนอำเภอสังขละบุรี เดินทางมาสมทบ จากนั้นคณะของเราได้ลงเรือหางยาว จำนวน 3 ลำ นั่งกำลังสบายๆ ปลอดภัยไร้ปัญหาด้วยการสวมเสื้อชูชีพ แล่นลงสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งมีแม่น้ำไหลมารวมกันถึง 3 สาย คือ แม่น้ำรันตี บีคลี่ และซองกาเลีย ขณะนั่งเรือผ่านไปตามลำน้ำ ได้สัมผัสกับวิวทิวทัศน์โดยรอบที่สวยงามยามเย็น ผ่านสวยตาด้วยการแลเห็นหมู่บ้านชาวมอญทางฝั่งมอญที่อยู่เรียงรายริมสายน้ำ ขณะที่ฝั่งตรงข้ามเป็นฝั่งไทย ก็เรียงรายไปด้วยทั้งบ้านพัก และที่พักค้างคืนที่เตรียมเอาไว้รองรับนักท่องเที่ยว ที่มองเห็นเด่นสง่า คือ เจดีย์พุทธคยา ที่ได้รับแสงอาทิตย์กระทบสะท้อนให้เห็นเป็นแสงประกายแวววับ ช่างเป็นบรรยากาศที่งดงามเสียนี่กระไร เรือออกไปได้สักพักใหญ่ มองเห็นโบสถ์จมน้ำโผล่ขึ้นมาอยู่ไม่ไกล เรือก็จอดนิ่งอยู่กลางน้ำ กัปตันเรือเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นไกด์ สารทยายถึงประวัติความเป็นมาในพื้นที่ให้คณะได้รู้
จากนั้นแล่นเรือต่อไปชมโบสถ์กลางน้ำที่ลอยขึ้นให้เห็นถึงความเก่าแก่ตามยุคตามสมัย จากนั้นคณะของเราได้นั่งเรือต่อไปยังการเยี่ยมชมพระอุโบสถวัดศรีสุวรรณ สักการะพระพุทธชินราช องค์ที่ 17 ประดิษฐานอยู่ภายใน โบสถ์หลังนี้เป็นโบสถ์หลังเก่าก่อนวีดนี้จะถูกย้ายไปอยู่บนบก หลังจากที่ได้สักการะสิ่งศักดิ์ภายในพระอุโบสถ์แล้ว คณะของเราก็ลงเรือเพื่อกลับไปชมบรรยากาศย่านสะพานมอญ ระหว่างที่แล่นเรือกลับ เป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ซึ่งเป็นเวลาที่อากาศเปิด พวกเราได้เห็นแสงทองสาลงมากระทบกับสายน้ำระยิบระยับ เป็นที่ประทับใจของทุกคนอย่างมาก ไม่นานนักเราก็มาลงเรือยังเชิงสะพานมอญ แสงสีกำลังสลัว แวะจับจ่ายใช้สอยในตลาดมอญ พอถึงตัวสะพานมอญ ต่างก็คว้าทั้งกล้องทั้งมือถือถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันอย่างเต็มอิ่ม จากนั้นก็ยกขบวนกลับเข้าที่พัก รับประทานอาหารเย็น ก่อนที่จะหลับพักผ่อนสะสมพลังงานเอาไว้ใช้ในวันรุ่งขึ้น
สัมผัสบรรยากาศสะพานมอญ เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นวันแรก คณะของเราก็ออกเดินทางจากที่พัก เพื่อไปสัมผัสบรรยากาศที่สะพานมอญ บ้างก็จับกล้องส่องพระอาทิตย์ขณะโผล่ขึ้นจากยอดเขา บ้างก็ไปช็อบ-ชิม-แชะกันบริเวณตลาดชาวมอญ บริเวณที่พระจะออกมาบิณฑบาต ต่างแต่งกายชุดประจำชาติมอญ ที่ทางพ่อค้าจำหน่ายอาหารหามาให้สวมใส่กันทั้งหญิงและชาย ไม่เว้นแม้แต่ฝรั่งมังค่า ชั่งเป็นบรรยากาศที่กลมกลืนกันไปหมดในบริเวณนั้น ถึงเวลาพระสงฆ์ก็เดินผ่านมาเพื่อรับบิณฑบาต เสร็จภารกิจการทำบุญตักบาตรกันแล้ว คณะของเราก็เดินขึ้นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นอันดับที่สองของโลก รองจากพม่า ใช้ชุดที่สวมใส่ไปบันทึกภาพเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ บนสะพานพบกับชาวมอญที่เทินหม้อบนศีรษะเกือบสูงเท่าตัว เดินโชว์ให้ช่างภาพได้เก็บภาพกันสนุกมือ พร้อมทั้งยังให้บริการหัดเทินหม้อกันด้วย ค่าใช้จ่ายก็แล้วแต่จะศรัทธา พร้อมทั้งมีทั้งมัคคุเทศก์น้อยใหญ่เดินกันควักไขว่ เพื่อรอให้ความรู้ที่เกี่ยวกับความเป็นมาในพื้นที่ เราใช้เวลากันที่นั้นนานพอควร ก่อนที่จะกลับที่พักเพื่อรับประทานข้าวเช้ากัน เสร็จสัพก็ออกเดินทางไปชมวัดวังก์วิเวการาม ที่ถูกสร้างในรูปลักษณะในแบบฉบับของมอญโดยแท้ ในศาลาเป็นที่ตั้งของหลวงพ่ออุตตมะจำลอง ประดับประดาในรูปลักษณ์แบบมอญโดยแท้ นอกจากนั้นก็สร้างซุ้มเจดีย์เป็นที่ครอบที่เก็บกระดูกของหลวงพ่ออุตตมะไว้ภายใน จากนั้นเราได้เดินทางไปสักการะเจดีย์พุทธคยาจำลององค์ใหญ่มหึมา เหลืองอร่ามเป็นที่ศรัทธาของผู้พบเห็น ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ให้สาธุชนขึ้นไปกราบไหว้ ด้านหน้าเจดีย์เป็นที่ตั้งของร้านค้าตั้งอยู่เรียงราย ที่จำหน่ายของที่ระลึกทั้งของมอญและพม่ามุ่งหน้าสู่ชุมชนกะเหรี่ยง
ต่อมา คณะของเราได้เดินทางต่อไปยังบ้านเวียคาดี้ ซึ่งเป็นชุมชนของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ห่างจากจุดนั้นประมาณ 10 กม.เศษ พอไปถึงที่นั่นเราก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และพาคณะเราไปสักการะเจดีคู่ที่มีอายุมากว่า 200 ปี เป็นเจดีย์ที่ชาวกะเหรี่ยงให้ความเคารพนับถือ เนื่องจากมีประวัติเกี่ยวพันกับการเดินทัพของพระนเรศวร ผ่านมายังพื้นที่ตรงนี้ จากนั้นเราก็ได้เดินทางต่อไปสักการะพระพุทธศรีโพธิญาณมุณี ซึ่งชาวบ้านบอกว่า เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านนั้น ต่อด้วยเดินลัดเลาะเข้าป่าไปสักการะเจดีย์เจ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ เป็นที่เคารพนับถือของชาวกะเหรี่ยง จากนั้นก็เดินเท้าต่อลงมายังพื้นราบ เพื่อเข้าสู่บ้านพักที่เป็นโฮมสเตย์ ก่อนที่จะรับประทานอาหารเย็นและชมการแสดงของชนเผ่ากะเหรี่ยง บอกได้เลยว่า ทั้งการต้อนรับและที่พักของชาวกะเหรี่ยง เป็นที่ประทับใจอย่างมากทั้งการต้อนรับของผู้คนและที่พักทำได้อย่างลงตัว เสร็จจากภารกิจอาหารค่ำก็เข้าพักผ่อนตามบ้านพักที่ชาวบ่านได้จัดไว้ให้
รุ่งเช้าสุดท้ายของทริปนี้ พวกเราได้แยกย้ายกันซื้อสิ่งของ โดยได้กระจายรายได้ไปยังร้านค้าชุมชนในพื้นที่ เพื่อตักบาตรพระสงฆ์ที่วัดเวียคะดี้ ทีอยู่ไม่ไกลจากที่พัก หลังจากอิ่มบุญกันแล้ว พวกเราก็ไปดูการสกัดน้ำมันมะพร้าวแบบบ้านๆ ซึ่งพวกเราได้รับความรู้กันถ้วนหน้า อิ่มเอิบไปด้วยบุญและความรู้พกกลับกันไป หวังว่า การท่องเที่ยวทริปนี้ น่าจะทำให้นักเดินทางได้ไปสัมผัสกันอีกในไม่ช้าน่ะครับ