พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. แถลงผลการจับกุม อาชญากรรมข้ามชาติและคดีการค้ามนุษย์ , รวบขบวนการขนไอซ์ข้ามชาติ และจับกุมเกาหลีหลอกลวงเหยื่อทำธุรกิจหลักหมื่นล้าน หลบหนีหมายจับคดีฉ้อโกงในไทย

พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. แถลงผลการจับกุม

อาชญากรรมข้ามชาติและคดีการค้ามนุษย์ , รวบขบวนการขนไอซ์ข้ามชาติ และจับกุมเกาหลีหลอกลวงเหยื่อทำธุรกิจหลักหมื่นล้าน หลบหนีหมายจับคดีฉ้อโกงในไทย

 

วันอังคารที่ 3 ธ.ค.62 เวลา 10.00 น.  พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พรชัย ขันตี รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปฏิพัทธ์ สุบรรณ ณ อยุธยา รอง ผบช.ตชด. ปฏิบัติราชการ สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เจนกมล คำนวล รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.ชัชวาลย์ ทิพย์พิชัย ผกก.สส.บก.ตม.1 ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้

1.) เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม1
“รวบหนุ่มไทยเปิดร้านนวดสปาบังหน้า หาเด็กสาววัยใสให้บริการอ้างรายได้ดี สุดท้ายเป็นเหยื่อค้ามนุษย์” โดย ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม1 ได้สืบทราบข้อมูลจากสื่อโซเชียลว่า มีร้าน BEDROOM SPA (เบดรูมสปา) เปิดบริการเป็นร้านนวดสปา โดยมีการโฆษณาเผยแพร่ภาพและข้อมูลผ่าน ทางเว็บไซต์ http://www…….clubwebboard.net/ ซึ่งมีลิงค์เชื่อมโยงกับเว็บบอร์ดของร้านได้ โดยที่ทางร้านได้โฆษณาเผยแพร่ภาพของหญิงสาววัยรุ่นจำนวนหลายคน พร้อมข้อความเชิญชวนในลักษณะค้าประเวณีและสนองทางเพศในรูปแบบอื่นอย่างโจ่งแจ้ง อีกทั้งยังมีข้อความระบุว่าหญิงสาววัยรุ่นตามภาพนั้นเป็นเด็กนักเรียนมัธยม มีหมายเลขโทรศัพท์แอปพลิเคชั่นไลน์ของร้าน ไว้เป็นช่องทางติดต่อในการส่งภาพถ่ายพนักงานนวดให้ลูกค้าเลือกก่อนมาใช้บริการ ซึ่งภาพถ่ายพนักงานนวดส่วนใหญ่จะเป็นหญิงสาวหน้าตาดี แต่งกายวาบหวิว เสื้อผ้าน้อยชิ้น และเน้นโชว์สรีระรูปร่าง บริเวณหน้าอก และบั้นท้าย เป็นส่วนใหญ่เพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้าให้สนใจมาใช้บริการ

2.) ชุดจับกุมประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา, ตม.จว.ร้อยเอ็ด, ตม.จว.ชัยภูมิ,  กก.2 บก.สส.สตม., กก.4 บก.สส.สตม. และ ชุด ศปชก.สตม. ร่วมแถลงข่าวผลการติดตามจับกุมเครือข่ายชาวจีนนำหลักฐานเท็จยื่นสวมทำบัตรประชาชนไทยและหนังสือเดินทางประเทศไทย พฤติการณ์กล่าวคือ ด้วยเมื่อวันที่ 13 พ.ย.2562 ตม.จว.สงขลา ได้จับกุมตัวชาย ไม่ทราบชื่อ -นามสกุล ไม่ทราบสัญชาติ อ้างตัวชื่อนายอภิสิทธิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี พร้อมหนังสือเดินทางประเทศไทย โดยกล่าวหาว่า “ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ตาม ป.อาญา ม.264, 265, 268 โดยก่อนเกิดเหตุนายหลินได้เดินทางออกจากประเทศจีนมาทำธุรกิจที่ประเทศเพื่อนบ้านอยู่เป็นเวลานานจนหนังสือเดินทางหมดอายุ ต่อมาได้มีกลุ่มขบวนการนายหน้า สัญชาติจีน ได้ประกาศโฆษณาทางแอพพลิเคชั่นวีแชท (WeChat) ว่า สามารถทำบัตรประชาชนและหนังสือเดินทางไทยของจริงได้ภายในเวลา 10 วัน จนนายหลินหลงเชื่อ และจ่ายเงินจำนวน 3 แสนหยวน (ประมาณ 1.2 ล้านบาท) ต่อมา นายหลินได้หลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติโดยมีขบวนการดังกล่าวให้การช่วยเหลือ

หลังจากนั้นกลุ่มนายหน้าชาวจีนจึงว่าจ้างกลุ่มนายหน้าคนไทยซึ่งทำหน้าที่หาข้อมูลคนไทยที่ไม่เคยมีบัตรประชาชนหรือคนไทยที่สาบสูญ พาไปทำบัตรประชาชน โดยวิธีการสร้างหลักฐานเท็จและใช้ผู้รับรองอันเป็นเท็จ จนเจ้าหน้าที่หลงเชื่อออกเอกสารบัตรประชาชนและหนังสือเดินทางไทยให้ เมื่อได้รับหนังสือเดินทางเรียบร้อยแล้ว นายหลินพยายามใช้หนังสือเดินทางไทยที่เพิ่งได้รับมาเดินทางออกทางด่าน ตม.สะเดา แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพบข้อพิรุธคือ ไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ จึงใช้ระบบไบโอเมตริกส์ (Biometrics) สืบค้นข้อมูลพบว่า นายหลินเคยและใช้หนังสือเดินทางจีนอีกเล่มหนึ่งเดินทางเข้า – ออก ประเทศไทยเมื่อปี 2557 จนเป็นเหตุไปสู่การจับกุมขยายผลเครือข่ายขบวนการดังกล่าว ได้ทั้งหมด 7 คน เป็นคนสัญชาติจีน 3 คน และคนไทย 4 คน เบื้องต้นชุดสืบสวนสอบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับเครือข่ายทั้งหมดในข้อหา “ร่วมกันให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั้นพ้นจากการจับกุม” รวมไปถึงร้องทุกข์กล่าวโทษความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การปลอมและใช้เอกสารราชการปลอมฯ การจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในท้องที่ที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ชุดสืบสวนฯ สตม. ยังคงขยายผลหาเครือข่ายผู้ร่วมกระทำความผิดในระดับสั่งการเพื่อติดตามจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป

 

3.) บก.สส.สตม. รวบขบวนการขนไอซ์ข้ามชาติ โดยเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2562 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สส.สตม. ได้จับกุม นายอูเชนน่า (UCHENNA) อายุ 32 ปี สัญชาติไนจีเรีย (ผู้ต้องหาที่ 1) และนางปภาพร อายุ 37 ปี สัญชาติไทย (ผู้ต้องหาที่ 2) พร้อมของกลางไอซ์ น้ำหนักประมาณ 520 กรัม โดยก่อนการจับกุม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นกรณีมีผู้หญิงไทยถูกจับกุมที่ประเทศญี่ปุ่น จำนวนหลายราย ขณะพยายามลักลอบนำไอซ์เข้าประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งทราบว่า มีแก๊งแอฟริกันลักลอบจำหน่ายยาเสพติด และลักลอบขนยาเสพติดไปยังประเทศญี่ปุ่น อยู่เบื้องหลัง จึงได้ทำการสืบสวนจนได้รับแจ้งจากสายลับซึ่งได้รับการติดต่อจากแก๊งของนายอูเชนน่าฯ ว่าจะจ้างให้ลักลอบขนไอซ์ไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยจะให้ค่าจ้างประมาณ 500,000 บาท ซึ่งแก๊งของนายอูเชนน่า ได้นัดหมายให้สายลับเตรียมเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นพร้อมลักลอบขนไอซ์ โดยวิธีการซุกซ่อนไปในช่องคลอด โดยให้เดินทางในคืนวันที่ 30 พ.ย.2562 และนัดมาหมายให้สายลับมารอรับไอซ์ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่าน ถ.อุดมสุข เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้วางแผนเพื่อเข้าทำการจับกุม จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.00 น.ได้สังเกตเห็นรถยนต์กระบะ ทะเบียน กทม. ขับเข้ามาภายในโรงแรมที่เกิดเหตุหลังจากนั้น ได้มีนางปภาพรฯ เดินทางลงจากรถและเข้าไปพบกับสายลับภายในห้องพักของสายลับ พร้อมกับนำไอซ์ ซึ่งบรรจุเป็นแท่งห่อหุ้มด้วยถุงยางอนามัย จำนวน 2 แท่ง พร้อมทั้งแนะนำวิธีการซุกซ่อนไอซ์ไว้ในช่องคลอด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าแสดงตัวและจับกุมนางปภาพรฯ พร้อมทั้งเข้าจับกุมนายอูเชนน่าฯ ที่รออยู่ภายในรถยนต์คันดังกล่าว ได้พร้อมของกลางเป็นไอซ์ จำนวน 2 แท่ง น้ำหนักรวมประมาณ 520 กรัม รถยนต์กระบะ จำนวน 1 คัน เงินสดสกุลดอลลาร์ จำนวน 800 ดอลลาร์ แจ้งข้อหาทั้ง 2 คน “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต” และแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมนายอูเชนน่าฯ ว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” เบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป อนึ่ง หากยาไอซ์ล็อตนี้สามารถลักลอบเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ จะมีมูลค่าถึง กรัมละ 17,000 บาท หรือ รวมประมาณ 8,840,000 บาท

 

4.) จับกุมเกาหลีหลอกลวงเหยื่อทำธุรกิจหลักหมื่นล้าน หลบหนีหมายจับคดีฉ้อโกงในไทย โดยเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 และตรวจคนเข้าเมือง จว.สระแก้ว ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้สืบสวนติดตาม นายแจซอง (JAESUNG) อายุ 53 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ โดยสถานทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยได้แจ้งข้อมูลทางการข่าวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่านายแจซอง เป็นบุคคลมีหมายจับศาลอาญากลางกรุงโซล ในคดีฉ้อโกง และเป็นบุคคลที่มีหมายแดงขององค์การตำรวจสากล (RED NOTICE) เลขที่ A-11552/11-2019 ในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งจากการตรวจสอบและสืบสวนเพิ่มเติมจึงได้ทราบว่านายแจซอง ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยทางอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2562 โดยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบิน FD0619

จากเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา ได้รับการตรวจลงตราประเภท ผ.ผ.90 ให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 นายแจซอง มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจอันเป็นการหลอกลวงประชาชน โดยได้จัดตั้งธุรกิจเครือข่ายคล้ายแชร์ลูกโซ่ ในนามบริษัทชื่อ “PAY100” หลอกว่าจะจ่ายผลตอบแทนให้เหยื่อที่หลงเชื่อร่วมลงทุนในรูปแบบเงินดิจิตอล เกิดความเสียหายรวมเป็นเงินกว่า 468 ล้านเหรียญสหรัฐ แล้วได้หลบหนีมาที่จังหวัดสระแก้ว จึงได้ทำการควบคุมตัวและเพิกถอนการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ และ ได้กักตัวไว้เพื่อดำเนินการตามกฎหมายคนเข้าเมืองต่อไป

 

ธวัชชัย  เฟื่องอนันต์ รายงาน