“เฉลิมชัย” สั่ง “อลงกรณ์” ลุยพิสูจน์ ไร่อ้อยชาวสุพรรณ หลังพบมีการ ใช้ “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์” กำจัดวัชพืช ในไร้อ้อยได้ผลจริง
“เฉลิมชัย” สั่ง “อลงกรณ์” ลุยพิสูจน์ ไร่อ้อยชาวสุพรรณ หลังพบมีการ ใช้ “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์” กำจัดวัชพืช ในไร้อ้อยได้ผลจริง ก่อนเดินหน้าหาทางออกใช้แทน สารเคมี หลัง แบน 3 สารเคมีหากใช้ได้ผลจริงพร้อมเสนอ เข้าที่ประชุม 14 พ.ย.นี้ ด้านนักวิจัยเผย หากรัฐจริงใจต้องหนุนให้มีการผลิตให้เกษตรกรใช้จริง หลังก่อนหน้านี้ขอขึ้นทะเบียน กรมวิชาการไม่สนใจอ้างขึ้นทะเบียนไม่ได้ ทำให้ไทยล้าหลัง เพราะหลายประเทศ ใช้ กันเกลื่อน ทั่วโลก
วันที่ 10 พฤศจิกายน 62 นาย อลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษา รมว. เกษตรฯ พร้อมด้วย นายวรยุทธ บุญมี ผอ. กองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน และ เจ้าหน้าที่ กนท.กกส.และกษ.สุพรรณบุรี และตัวแทนนักวิจัย เอกชน ที่ร่วมกันศึกษา “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์” ร่วมกับ ม. แม่โจ้ ได้ ร่วมกันเข้า ตรวจสอบ แปลงอ้อยอินทรีย์ของ นายสุรินทร์ ขันทอง บ้านหนองมะค่าโหม่ง ต.หนองมะค่าโหม่ง อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งมีการปลูกอ้อยอินทรีย์600ไร่โดยใช้จุลินทรีย์ในการกำจัดวัชพืช เพื่อเป็นการพิสูจน์ ว่าสามารถใช้ได้ผลจริงหรือไม่ หลังจากพบว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ มีการกำจัดวัชพืชที่ ใช้ “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์” และไม่มีการใช้สารเคมี
ทั้งนี้ นายอลงกรณ์ เปิดเผยว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว. เกษตรฯ ได้สั่งการให้ตนพร้อม ตัวแทนจากกระทรวงเกษตรฯ ลงตรวจสอบข้อมูลหลังจากที่ผ่านมา มีการเสนอข้อมูลจากนักวิจัยเอกชน บางกลุ่มที่ทำงานวิจัยร่วมกับ ม. เกษตรแม่โจ้ แจ้งว่ามีการศึกษาวิจัย เรื่องการ “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์” ที่นำมาใช้ในการทำการเกษตรทั้งระบบและสามารถใช้ได้ผลจริง ตั้งแต่การปรับปรุงบำรุงดินที่เคยใช้สารเคมี ให้กับมาเป็นดินที่ไม่มีสารเคมีตกค้าง ขณะเดียวกันยังมีการศึกษา เรื่องการใช้ “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์” ในการกำจัดวัชพืชได้จริง โดยก่อนหน้านี้ นาย เฉลิมชัย รมว. เกษตรฯ ได้สั่งให้มีการตั้งคณะทำงานได้ศึกษา ในการหาสิ่งทดแทน ที่จะเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรหลังจากที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติให้มีการแบน 3สาร เคมี ที่เป็น สารเคมี ที่ใช้ในการกำจัดวัชพืช และแมลง ซึ่งหากไม่มีสิ่งทดแทนที่ชัดเจน อาจสร้างปัญหาให้กับเกษตรกรได้ จึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาและหาทางออก กับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งระบบ
โดยหลังจากมีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้นำข้อมูลที่มีการศึกษาวิจัยมาให้กระทรวงเกษตรฯพิจารณาส่งเสริมให้มีการผลิต “จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์” และมีการใช้จริงในพื้นที่ สุพรรณบุรี จึงลงตรวจสอบในพื้นที่ และจาการสอบถามข้อมูลทั้งจาก กลุ่มนักวิจัย และ ผู้ใช้ จริงก็ พบว่าที่ผ่านมา จุลินทรีย์ และชีวภัณฑ์ ที่มีการผลิต มีการใช้ ในกลุ่มคนบางกลุ่ม เพราะมีปัญหาเรื่องการขึ้นที่ทะเบียนของทางกรมวิชาการเพราะ กรมวิชากการจะมีการขึ้นทะเบียนให้เฉพาะชีวภัณฑ์เชิงเดี่ยวเท่านั้น จึงติดเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนทั้งหมด เพราะจุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ ที่ทดลองใช้ เป็นเชิงอนุพันธ์ จึงมีปัญหา เพราะตามกฎหมายในการขึ้นทะเบียน และ ชีวภัณฑ์ ทางเลือกทุกชนิดที่จะสามารถจำหน่ายได้ ต้องการผ่านการรับรองจากกรมวิชาการทั้งหมด เพื่อให้การคุ้มครองเกษตรกร เช่นเดียวกับสารเคมีทั้งหมดเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การประชุมคณะกรรมการศึกษาผลกระทบ ที่มีการประชุมครั้งแรก ก็ พบว่า หลังมีการแบน สารเคมี 3ชนิด ที่ผ่านมา ยังไม่มีการเตรียมพร้อมเรื่องสิ่งทดแทน ในส่วนสารเคมีที่ถูกแบน จึงได้สั่งการ ให้ทางกรมวิชาการเสนอทางเลือกเข้ามา ปรากฏว่า ในส่วนของกรมวิชการ เสนอมาส่วนใหญ่เป็นสารเคมี ซึ่งเป็นเรื่องที่ ไม่น่าจะเหมาะสม เมื่อ แบน สารเคมี และ ต้องการยกเลิกการใช้สารเคมี ก็ ไม่ควรนำสารเคมีมาทดแทน หลังจากการตรวจสอบก็พบว่า มีจุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ ที่เป็นทางเลือกอีกทางไม่มีการเสนอมา จึงได้มีการสอบถาม ก็พบว่า ยังไม่เคยมีการขึ้นทะเบียนรับรอง จึงไม่สามารถเสนอต่อที่ประชุมได้ แต่ในที่ประชุม ก็ได้มีการนำเสนอข้อมูลจาก ทางนายวรยุทธ บุญมี ผอ. กองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน หรือ กนท.ว่ามีจุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ ที่มีการใช้จริง ตนจึงเข้ามาตรวจสอบ เพื่อสรุปข้อมูลต่อที่ประชุมอีกครั้ง ซึ่งจะมีการประชุม ในวันที่14 พฤศจิกายน นี้ โดยจากข้อมูลที่มีการสอบถาม นักวิจัย และเกษตรกรที่ใช้จริง พบว่ามีต้นทุนการผลิต โดยเฉลี่ยพอกับต้นทุนของสารเคมีที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายที่แบนก่อนหน้านี้ แต่มีข้อดีคือ ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศน์ทั้งหมดซึ่งปลอดภัยสามารถพิสูจน์ ได้
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลดังกล่าว ตนได้มอบหมายให้ทาง นายวรยุทธ บุญมี ผอ. กองนโยบายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรและเกษตรกรรมยั่งยืน สรุป เสนอต่อที่ประชุม เพื่อพิจารณาเป็นทางเลือกในการช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตรฯกำลังเร่งหาทางช่วยเหลือเกษตรกร โดยรวมหากสามารถขึ้นทะเบียน และรับรองได้ก็น่าจะเป็นทางออกเรื่องต้นทุนให้กับเกษตรกรอีกทาง
“ตอนนี้กระทรวงเกษตรฯ กำลัง หาทางที่จะช่วยเกษตรกร ทั้งหมด ที่ได้รับผลกระทบจากการแบนสารเคมีทั้ง3สาร ในวันนี้ มีข้อเสนอที่ดี ไม่ใช่เฉพาะชีวภัณฑ์ ก็ เสนอและมาให้ข้อมูลที่กระทรวงเกษตรได้ เพื่อเราจะนำเสนอต่อที่ประชุม เมื่อ ต้องการ จะยกเลิกการใช้สารเคมี ก็ไม่ควรจะใช้เคมีเข้ามาทดแทนอีก หากยังเสนอสารเคมมีมาเป็นทางเลือกอีก กระทรวงเกษตรจะตอบสังคมได้อย่างไร ซึ่งหาก จุลินทรีย์ ได้ผลจริง และมีการตรวจสอบรับรองได้ ก็น่าจะเป็นทางเลือกได้อีกทาง ซึ่งนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการประทรวงเกษตรฯก็ชัดเจนว่าต่อการส่งเสริมเรื่องเกษตรอินทรีย์เป็นหลัก ซึ่งต้องสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งหมด” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวด้วยว่าในส่วนแนวคิดที่จะมีการจัดตั้งองค์ขึ้นมาบริหารจัดการเรื่องเกษตรอินทรีย์ ให้ชัดเจน ในส่วนตนเห็นว่าดี และมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องการส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าเกษตรกรอินทรีย์ ที่ยั่งยืน ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการส่งเสริมการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคตด้วย
นายสุรินทร์ ขันทอง เกษตรกร เจ้าของแปลงไร่อ้อย กล่าวว่า เดิมตนใช้เคมี และมีปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตค่อนข้างเยอะ ขณะเดียวกันก็ มีวัชพืช จำนวนมาก ก็พยายามแก้ปัญหามาหลายวิธี จนมาพบชีวภัณฑ์ทางเลือก ตามที่มีการแนะนำ จึงลองใช้ดู หลังจากใช้มานานกว่า 7ปี ก็พบว่าการกำจัดวัชพืช สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งระบบ และ มีสุขภาพแข็งแรง ระบบนิเวศ กลับมาดีเหมือนเดิม จึงเลือกใช้มาตลอด แต่ขณะนี้ยอมรับว่า ยังไม่ได้มีการใช้แพร่หลาย เนื่องจากยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งหากภาครัฐ มีการขึ้นทะเบียนให้ คาดว่าน่าจะเป็นทางเลือกให้เกษตรกร ได้มากขึ้นด้วย จึงอยากของให้ภาครัฐพิจารณาในเรื่องนี้ด้วย
ด้าน นายฐปนรมย์ แจ่มใส นักวิจัย อิสระ ร่วมกับ. ม แม่โจ้เปิดเผยว่า จากที่ตน ที่ทำหนังสือ ถึงนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อขอเข้าให้ข้อมูลจากทางกระทรวงเกษตรฯ เรื่องการใช้จุลินทรีย์เพื่อกำจัดวัชพืชในการประกอบอาชีพทางการเกษตรกรรม ตามที่กระทรวงเกษตรฯประกาศนโยบายเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ และผลักดันยกเลิกการใช้3สารเคมี ทั้งหมด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร หากต้องการ ยกเลิกการใช้สารเคมีจริง ก็ ควรจะใช้ จุลินทรีย์ ชีวภัณฑ์ ไม่ใช่สารเคมีมาทดแทน โดยที่ผ่านมา ตนได้ มีการศึกษาวิจัย ร่วมกับ ม. แม่ โจ้ และใช้ในแปลงทดลอง และ ท้าพิสูจน์ ว่าได้ผลจริง ตนจึงพาตัวแทนจากกระทรวงเกษตรมาดู แปลงทดลอง เพื่อให้เห็นชัดเจนจากนี้ไปคงขึ้นอยู่กับทางกระทรวงเกษตรว่าจะขับเคลื่อนอย่างไร หากมีข้อสงสัยตนพร้อมจะให้ความร่วมหรือทดลอง ในทุกด้าน
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ตนได้ขอขึ้นทะเบียน กับทางกรมวิชาการเกษตรมาโดยตลอด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร ได้รับการปฎิเสธ ว่าไม่สามารถ ขึ้นทะเบียนได้ ทั้งที่ต่างประเทศ สามารถ ขึ้นทะเบียนได้ทั้งหมด รวมทั้งส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อจำหน่าย และสร้างรายได้มหาศาล และที่ผ่านมาตนก็ เป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มเกษตรกรและผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ มาหลายประเทศ จึงไม่อยากเกษตรกรไทยเสียโอกาส