กลุ่มเกษตรกรคัดค้านการแบน3สารเคมี เตรียมร้องศาลปกครองจันทร์นึ้ให้ไต่สวนฉุกเฉินพิจารณาคุ้มครองชั่วคราว ชะลอการยกเลิกใช้ 3 สารที่จะมีผล 1 ธันวาคมนี้ออกไปก่อน
งัดหลักฐาน คณะกรรมการวัตถุอันตราย ลงมติโดยผิดขั้นตอนกระบวนการส่งผลกระทบให้เกษตรกรเดือดร้อน
นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 28 ตุลาคมนี้ ผู้แทนเกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิดได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าวโพด และไม้ผลจะไปร้องต่อศาลปกครองให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคุ้มครองชั่วคราว เนื่องจากเกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิดคือ คลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเซต เดือดร้อนจากต้นทุนการผลิตที่จะสูงขึ้น อีกทั้งยังไม่มีมาตรการรองรับทั้งการหาสารทางเลือกที่มีประสิทธิภาพทัดเทียมกัน การสนับสนุนด้านเครื่องจักรกลกำจัดวัชพืช และแรงงานที่จะใช้จัดการแปลง
ทั้งนี้กลุ่มเกษตรกรจะนำเสนอหลักฐานต่อศาลปกครองว่า การลงมติยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิดของคณะกรรมการวัตถุอันตรายนั้นผิดขั้นตอนกระบวนการ โดยนำมติของคณะทำงาน 4 ฝ่ายซึ่งมีนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 8 ตุลาคมมาพิจารณา ทั้งที่กระบวนการทำงานของคณะทำงานชุดดังกล่าวขัดต่อบัญชานายกรัฐมนตรีที่ให้มีการหารือกันจาก 4 ภาคส่วนคือ รัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภค ซึ่งให้ แสดงความคิดเห็นถึงปัญหา วิธีการ และผลกระทบเพื่อสร้างความเข้าใจกันและหาวิธีได้ แต่ในการประชุมคณะทำงานดังกล่าวมีองค์ประกอบของผู้เข้าร่วมประชุมไม่ครบคือ ขาดผู้แทนผู้นำเข้า ส่วนผู้แทนเกษตรกรนั้นเป็นเกษตรกรอินทรีย์ แต่ไม่มีเกษตรกรพืชเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องใช้สารเคมี 3 ชนิดร่วมให้ความเห็น นอกจากนี้ยังต้องข้อสังเกตว่า การประชุมใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมงแล้วคณะทำงานจึงมีมติให้ปรับสารเคมี 3 ชนิดจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เป็นชนิดที่ 4 ต่อมาคณะกรรมการวัตถุอันตรายใช้ข้อเสนอจากคณะทำงาน 4 ฝ่ายมาลงมติตามข้อเสนอดังกล่าว จึงขัดกับบัญชานายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน ดังนั้นศาลปกครองเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเกษตรกรซึ่งหวังว่า จะมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินให้ชะลอการยกเลิกออกไป จนกว่าจะมีการนำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างรอบด้าน กำหนดมาตรการรองรับที่เหมาะสม
นายสุกรรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า จะทำหนังสือขอเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรมว่า หากไม่ให้มีการใช้สารเคมี 3 ชนิดในประเทศไทยก็ต้องห้ามนำเข้าผักผลไม้จากประเทศใช้สารเคมีดังกล่าวด้วยเช่น ผักจากจีนซึ่งยังคงใช้พาราควอตเฉพาะที่ด่านเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีการนำเข้ามูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยไม่มีห้องปฏิบัติการตรวจสอบสารตกค้าง ผลไม้จากญี่ปุ่นซึ่งใช้พาราควอตเช่นกัน ตลอดจนถั่วเหลืองและข้าวสาลีจากสหรัฐอเมริกาซึ่งใช้ไกลโฟเซต ไม่เช่นนั้นจะเป็นการซ้ำเติมเกษตรกรและเป็นการปฏิบัติ 2 มาตรฐาน
นายอดิศักดิ์ ศรีสรรพกิจ อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่กรรมการในคณะกรรมการวัตถุอันตรายซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงของกรมและกระทรวงต่างๆ ลงความเห็นให้ยกเลิกใช้สารเคมีการเกษตร 3 ชนิดโดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่ลงความเห็นเพราะถูกอำนาจที่เหนือกว่าครอบงำ ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเกษตรกร แต่อาจทำให้เกิดความล่มสลายของภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากภาคเกษตรเช่น การผลิตน้ำตาล การแปรรูปมันสำปะหลัง การผลิตอาหารสัตว์ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสียหายอย่างร้ายแรง
แหล่งข่าวจากกรมวิชาการเกษตรรายงานว่า กรมวิชาการเกษตรได้พิจารณาความเหมาะสมในการบริหารจัดการที่ยังคงเหลืออยู่ตามมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายเพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งจากการสำรวจปริมาณคงเหลือของสาร 3 ชนิดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 62 พบว่า พาราควอตยังมีมีในประเทศไทย 13,063.69 ตัน ไกลโฟเซต 15,110.93 ตัน และคลอร์ไพริฟอส 1,694.86 ตัน รวมทั้งสิ้น 29,869.58 ตัน โดยรัฐต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการทำลายตันละ 100,000 บาท ดังนั้นจะต้องใช้งบประมาณในการทำลายเกือบ 3,000 ล้านบาท