กลุ่มเกษตรกรกดดันหนัก ขนม็อบไปร้องเรียนนายก

กลุ่มเกษตรกรกดดันหนัก ขนม็อบไปร้องเรียนนายก

 

นายภมร ศรีประเสริฐ อุปนายกสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ได้นำกลุ่มเกษตรผู้ปลูกมันสำปะหลังประมาณ 150 คนมาที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อทวงถามความคืบหน้าการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง จากที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเหลือชาวไร่มันที่เดือดร้อนจากหลายปัญหา

 

นายภมรกล่าวว่า เกษตรกรประสบปัญหาการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลังมาเป็นเวลากว่า 1 ปี แต่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่สามารถควบคุมและแก้ไขการระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้ผลผลิตเสียหาย ราคามันสำปะหลังก็ตกต่ำ จนกระทั่งล่าสุดนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งให้ยกเลิกการใช้สารเคมีการเกษตร 3 ชนิดซึ่งเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพของเกษตรกร โดยเฉพาะสารป้องกันกำจัดวัชพืชที่มีประสิทธิภาพดีและราคาถูกอย่างพาราควอตและไกลโฟเสต ซึ่งหากคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติยกเลิกใช้ แล้วให้ใช้สารกลูโฟซิเนตอย่างที่เป็นข่าว เกษตรกรจะเดือดร้อนจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเนื่องจากกลูโฟซิเนตมีราคาแพงกว่าพาราควอต 4 – 5 เท่า อีกทั้งกลูโฟซิเนตก็เป็นสารเคมีที่มีพิษ ดังนั้นจึงไม่ใช่ทางออก ส่วนที่รมช. มนัญญาระบุว่า จะให้กรมวิชาการเกษตรส่งเสริมให้ใช้สารชีวภัณฑ์กำจัดวัชพืชนั้น ยิ่งทำให้ชาวไร่มันกังวลมากขึ้นเนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยใดที่บ่งชี้ว่า มีสารชีวภัณฑ์ที่กำจัดวัชพืชได้

 

สำหรับข้อเสนอของเอ็นจีโอที่ให้ใช้แรงงานถากหญ้า เกษตรกรจะนำเงินที่ไหนมาจ้างแรงงาน ยังไม่รวมถึงจะหาแรงงานได้หรือไม่ กรณีที่จะให้ใช้เครื่องจักรกลการเกษตรนั้น สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วหรือเกษตรกรรายใหญ่มีกำลังที่จะจัดหาได้ แต่เกษตรกรรายย่อยไม่มีกำลังซื้อ รัฐจะสนับสนุนอย่างไร

“วัชพืชเป็นปัญหาสำคัญของไร่มันสำปะหลัง มีงานวิจัยจากอาจารย์ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ระบุว่า หากควบคุมวัชพืชในแปลงมันได้ไม่ดีพอ ภายใน 2 เดือนจะทำให้ผลผลิตลดต่ำลงกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงขอให้นายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงความจำเป็นของเกษตรกร หากต้องการยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิดนี้ให้หาสารหรือวิธีการทดแทนให้ได้ก่อน แล้วทำเป็นลำดับขั้น ให้เกษตรกรได้ปรับตัว” นายภมรกล่าว

 

นายภมรกล่าวต่อว่า หากเกษตรกรดูแลแปลงมันของตัวเองไม่ได้ ผลผลิตจะลดต่ำลงมากทำให้เกษตรกรขาดรายได้จนอาจถึงขั้นล้มละลาย อีกทั้งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมมันสำปะหลังซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปมันสำปะหลังเป็นอันดับ 1 ของโลก ต้องการผลผลิตมันสำปะหลังปีละ 35 ล้านตัน หากผลผลิตไม่เพียงพอจะทำให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังที่มีมูลค่าสูงถึงเกือบแสนล้านบาทต้องเสียหายและขาดความมั่นคงยั่งยืน