อัศจรรย์สร้างองค์เณรบัลลังก์แก้ว ริมห้วยฮ่องฮอ หลังพระป่านั่งกรรมฐาน พบนางคำกองในนิมิต ตระเวนหาจนเจออยู่ที่ จ.นครพนม

อัศจรรย์สร้างองค์เณรบัลลังก์แก้ว ริมห้วยฮ่องฮอ หลังพระป่านั่งกรรมฐาน พบนางคำกองในนิมิต ตระเวนหาจนเจออยู่ที่ จ.นครพนม

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า บริเวณริมห้วยฮ่องฮอ บ้านดงหมู หมู่ 10 ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม ได้ปรับภูมิทัศน์จากที่ว่างเปล่าบนเนื้อที่ 1 งาน 29 ตารางวา ให้เป็นลานธรรมแก้วคำรัตนะ โดยมีคนงานกำลังขะมักเขม้นในการวางแท่นฐานล่างเพื่อสร้างองค์เณรบัลลังก์แก้วตาไฟ ขนาดความสูง 5.99 เมตร กว้าง 2 เมตร ข้างๆจุดก่อสร้างมีเต็นท์ชั่วคราว พร้อมทั้งโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป โดยพระนัฏฐนังคณ์ ยะติกโร  ผู้ริเริ่มในการก่อสร้างองค์เณรบังลังก์แก้วตาไฟ คอยกำกับดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ก็มีญาติโยมที่เคารพศรัทธา แวะเวียนมากราบไหว้ตลอดเวลา ทั้งๆที่จุดการก่อสร้างนั้นอยู่ห่างจากชุมชนและถนนหนทางก็มีแต่ฝุ่นคลุ้งกระจาย
พระนัฏฐนังคณ์ ยะติกโร เปิดเผยว่าเป็นพระสายธรรมยุต เดิมจำพรรษาอยู่วัดป่าวังทอง หมู่ 20 บ้านดอนชุมป่ายาง ต.บุสูง อ.วังหิน จ.ศรีสะเกษ โดยขณะนั่งวิปัสสนากรรมฐานร่วมกับพระอาจารย์ ดวงจิตมักจะเห็นภาพเรื่องราวเกี่ยวกับแม่คำกอง หรือนางคำกอง หรือนางปทุมมา ผู้เป็นธิดาเจ้าเมืองจักขินในเรื่องจำปา 4 ต้น ซึ่งเป็นวรรณกรรมดังของแผ่นดินลาว ที่ประพันธ์โดยนันทวงศาจารย์นักปราชญ์คนสำคัญ มีชีวิตอยู่ในระหว่าง พ.ศ. 2078 ตรงกับสมัยพระเจ้าโพธิสารราช ถึง พ.ศ. 2114 สมัยพระไชยเชษฐาธิราช  ในดวงจิตไม่ระบุว่าสถานที่นางคำกอง ซึ่งต่อมาได้เป็นมเหสีฝ่ายซ้ายท้าวจุล


พระนัฏฐนังคณ์เล่าต่อว่าระหว่างเดินทางมาถึงจังหวัดนครพนม มีความรู้สึกอยากแวะบ้านดงหมู จึงให้ลูกศิษย์ขับรถยนต์มาตรงริมห้วยฮ่องฮอแห่งนี้ แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากที่รกร้างว่างเปล่า ก็เดินทางกลับจนไปถึงจังหวัดบึงกาฬ เหมือนมีอะไรมาดลใจให้อยากกลับไป ณ จุดริมห้วยฮ่องฮออีก พอกลับมาเป็นครั้งที่สองก็ยังเหมือนครั้งแรก กระทั่งครั้งที่สามนี่เองจิตใจร้อนรุ่มอยากไปตรงนั้นมากๆ ครั้งนี้เองก็ได้พบกับนายยศวัจน์ ภัคพลเตชสิทธิ์ จึงได้มีการพูดคุยกันจึงทราบว่าในบริเวณวัดป่าบ้านดงหมู มีพระธาตุเก่าแก่อยู่องค์หนึ่ง ซึ่งคนแก่คนเฒ่าเล่าให้ลูกหลานฟังต่อๆกันมาว่าเป็นธาตุของนางคำกอง ซึ่งเป็นบุคคลที่ท่านตามหามานมนาน จึงเชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติดลใจให้เดินทางมาที่นี่

ส่วนพื้นที่ว่างเปล่าที่ท่านมายืนนั้น ทราบว่าเป็นที่ดินส่วนบุคคลจึงติดต่อขอซื้อผ่านนายยศวัจน์ ซึ่งเจ้าของที่ยินดีขายแต่ยังไม่เสนอราคา ระหว่างนั้นก็ขออนุญาตสร้างเป็นลานปฏิบัติธรรมก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี การสร้างองค์เณรบัลลังก์แก้วตาไฟจึงบังเกิดขึ้น โดยใช้ฤกษ์มหัทธโนฤกษ์ ทางโหราศาสตร์อินเดียเรียกว่าสมบัติแปลว่า คนมั่งมี ผู้รุ่งเรือง เศรษฐี มีดาวศุกร์เป็นดาวเจ้าฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกันเป็นบูรณะฤกษ์ เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับ การมงคลต่างๆ ทุกอย่าง ฯลฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา โดยใช้ฤกษ์เวลาที่เข็มยาวและเข็มสั้นตรงกันคือเวลาเที่ยงตรง ส่วนที่มีคนสงสัยว่าทำไมใช้ชื่อเณร จึงอธิบายได้ว่าก่อนที่ทุกคนจะเป็นพระต้องผ่านการเป็นเณรเสียก่อน เมื่อออกจากโบสถ์แล้วผู้ใดจะเป็นพระหรือไม่อยู่ที่การปฏิบัติรักษาศีล การใช้ชื่อเณรจึงเป็นการให้เกียรติผู้ทรงศีลปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกท่าน

สำหรับรูปแบบองค์เณรบัลลังก์แก้วตาไฟ พระนัฏฐนังคณ์เผยว่านำมาจากองค์ปฐมที่วัดป่าวังทอง นั่งอยู่บนกลีบบัวคว่ำบัวหงาย มีพญานาคขนดเป็นแท่นรองรับ แผ่พังพาน 11 เศียร และองค์เณรมี 10 กร ซึ่งเป็นปริศนาธรรมคือธรรมะ 10 ประการ การปกครอง 10 อย่าง คุณธรรมทั้ง 10 และสร้างขึ้นในแผ่นดินรัชกาลที่ 10 คาดจะแล้วเสร็จก่อนเข้าพรรษา ส่วนงบประมาณในการสร้างไม่ตั้งประมาณการไว้ ถ้าญาติโยมสายธรรมต้องการจะร่วมเป็นเจ้าภาพก็ยินดี สามารถโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดได้ที่ 090-9169665 คุณยศวัจน์ ภัคพลเตชสิทธิ์ เป็นทั้งคนในพื้นที่และโยมอุปัฏฐาก  นอกจากนี้พระนัฏฐนังคณ์ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า จะสร้างองค์เณรให้ครบ 7 นะ คือ 1.นครพนม 2.นครปฐม 3.นครสวรรค์ 4.นครนายก 5.นครราชสีมา 6.นครศรีธรรมราช และ 7.นราธิวาส

เทพพนม รายงาน