สทนช.แจงสส.กรณีรัฐบาลเมินต่อรองจัดการน้ำโขง
สทนช.แจงรัฐบาลไทยทำงานเชิงรุกจัดการน้ำโขงทั้งฤดูฝนและแล้ง พร้อมปรับปรุงการเชื่อมต่อข้อมูลใกล้ชิดมากขึ้น โดยยึดผลประโยชน์ประเทศสูงสุดภายใต้กรอบเวทีความร่วมมือลุ่มน้ำโขงตลอดสาย
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย เปิดเผยว่า จากกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร์ จ.เชียงราย พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กแสดงความเห็นถึงการไม่รักษาสุมดลย์อำนาจระหว่างประเทศในการบริหารจัดการน้ำโขงนั้น สทนช.ขอชี้แจงว่าการบริหารจัดการน้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ โดยมีประเทศต้นน้ำ คือ ประเทศจีน ในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมามีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรมอย่างมาก เป็นผลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลได้ร่วมผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับน้ำและด้านอุทกวิทยาตลอดทั้งปีทุกเวทีการเจรจา
ส่งผลให้ล่าสุดกระทรวงทรัพยากรน้ำของจีน กับ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขาฯ คณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ (JWG) กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง สาขาทรัพยากรน้ำ ได้มีการลงนามความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลตลอดทั้งปีมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2563 ที่ผ่านมา จากเดิมเริ่มต้นเพียงช่วงฤดูฝนเท่านั้น “ทางการจีนให้การสนับสนุนข้อมูลด้านอุทกวิทยาน้ำโขงกับประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เป็นผลจากที่ไทยหยิบยกประเด็นนี้ต่อเนื่องพร้อมผลักดันในทุกระดับเวทีการเจรจาไม่ว่าจะเป็นระดับผู้นำ หรือหน่วยงานปฏิบัติ ส่งผลให้เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2562 จีนยินดีให้ข้อมูลระดับน้ำและปริมาณน้ำจากสถานีวัดน้ำ 2 แห่ง
ได้แก่ สถานีจิ่งหง และสถานีหม่านอัน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน –31 ตุลาคมของทุกปี และประเทศจีนจะส่งข้อมูลด้านอุทกวิทยา ระดับน้ำ และล่าสุด คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระดับน้ำในฤดูฝนตลอดทั้งปีของสถานียุนจิ่นหง และสถานีหมานอัน ที่ตั้งอยู่ท้ายน้ำของแม่น้ำล้านช้างในจีนก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงตอนล่างให้คณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำของประเทศสมาชิกอีก 5 ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย จึงนับเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญที่ฝ่ายไทยจะต้องดำเนินการและติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในแม่น้ำโขง – ล้านช้าง รวมถึงการป้องกันบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน จากสถานการณ์น้ำท่วม น้ำแล้ง การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและระดับน้ำอย่างฉับพลันอีกด้วย””ดร.สมเกียรติ กล่าว
ทั้งนี้ กรณีที่เขื่อนจิ่นหงลดการะบายนั้น สทนช.ได้รับข้อมูลอุทกวิทยาจากสถานียุนจิ่นหง พบว่า มีระดับน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจได้เร่งติดต่อประสานงานผ่านผู้ประสานงานของรัฐบาลจีนและเขื่อนจิ่นหงทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แต่ด้วยเป็นช่วงวันหยุดยาวสิ้นปี ทำให้เกิดข่องว่างในการแจ้งยืนยันข้อมูลอย่างเป็นทางการมาในวันที่ 5 ม.ค. 2564 โดยระดับน้ำที่เชียงแสนลดลงวันที่ 2 – 5 มกราคม 2564 ประมาณ 1 เมตร ส่งผลต่อการแจ้งเตือนหน่วยงานระดับพื้นที่อย่างเป็นทางการมีความล่าช้าไปบ้าง
ซึ่งสทนช.จะเร่งปรับปรุงระบบการได้ข้อมูลยืนยันที่เป็นทางการให้รวดเร็วมากขึ้น รวมถึงในเร็วๆ นี้ สถานีเชียงกกที่อยู่พรมแดนของลาว-พม่า-จีน ก็เป็นอีกสถานีที่สำคัญทำให้ไทยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลระดับน้ำได้รวดเร็วขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ระดับน้ำโขงที่ในระยะนี้ซึ่งไม่มีฝนเพิ่มเติมในพื้นที่รวมถึงลำน้ำสาขา คาดว่า ระดับน้ำจะมีค่าคงที่ไม่ต่ำกว่าในปัจจุบันซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับตลิ่ง ประมาณ 10.61 เมตร
ดร.สมเกียรติ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญและเน้นย้ำถึงการปกป้องผลกระทบกับประชาชนริมน้ำโขง และพยายามในทุกกรอบเวทีการเจรจาไม่ว่าจะกรอบแม่โขง-ล้านช้าง หรือ กรอบเวทีลุ่มน้ำโขง 4 ประเทศ ฉันท์มิตรประเทศ และกลไกที่สามารถนำมาขับเคลื่อนได้ เช่น กรณีเขื่อนสานะคาม ที่ไทยได้หยิบยกในหลากหลายประเด็นที่จะส่งผลกระทบกับประเทศท้ายน้ำที่ไม่มีความชัดเจน ซึ่งประเทศเจ้าของโครงการต้องไปทบทวนปรับปรุงร่างรายงานทางเทคนิคให้ครอบคลุมตามข้อสังเกตุของประเทศสมาชิกก่อนเข้าสู่กระบวนการอื่นๆ ได้ต่อไป รวมถึง สทนช.ได้พยายามเพิ่มเวทีสร้างการมีส่วนร่วมภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบริหารแม่น้ำโขงในประเทศ เพื่อให้การจัดการน้ำโขงเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเกิดผลกระทบกับประชาชนน้อยที่สุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในปัจจุบันด้วยเช่นกัน. 19 มกราคม 2564 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ