ทีเส็บ เดินหน้าส่งเสริมงานแสดงสินค้านานาชาติ
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 กรุงเทพฯ ทีเส็บเดินหน้าส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติด้วย 5 กลยุทธ์ ปรับแนวการตลาดให้เฉพาะเจาะจง หวังผลได้ มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจศักยภาพสูงในกลุ่ม 12 อุตสาหกรรมหลัก และภูมิภาคเอเชียที่ยังเติบโตได้ โดยปี 64 สนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ 58 งาน คาดการณ์สร้างรายได้หมุนเวียน 23,000 ล้านบาท
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า จากแผนการส่งเสริมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของทีเส็บ ระยะ 5 ปี (2562-2566) โดยมุ่งเน้นการดึงงานและสนับสนุนการจัดงาน 12 อุตสาหกรรมหลัก เพื่อตอบรับนโยบายจากรัฐบาล ซึ่งในปี 2563 นี้ ได้มีการปรับแผนงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์โควิด 19 พร้อมรับการจัดงานยุค New Normal ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้จัดงานสามารถจัดงานได้ โดยทีเส็บจัดทำโครงการเอ็กซิบิชั่นนิวนอร์ม (Exhibition New Norm) ช่วยฟื้นฟูและผลักดันผู้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและเสริมศักยภาพให้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยได้ตามมาตรการอย่างปลอดภัย ครอบคลุมทุกรูปแบบการจัดงาน ทั้งการจัดงานในรูปแบบปกติ (Face to Face) และการจัดงานในรูปแบบปกติร่วมกับออนไลน์ (Hybrid Exhibition)
สำหรับปี 2564 ทีเส็บมีแผนการสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ 58 งาน แบ่งเป็นงานเดิม 44 งาน และงานใหม่จำนวน 14 งาน ซึ่งงานทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียน 23,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การส่งเสริมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติจะดำเนินงานภายใต้ 5 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย
1. เอเชีย เซนทริค (Asia Centric) มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมงานจากภูมิภาคเอเชียให้มากขึ้นทั้งในรูปแบบ Online และ Offline พร้อมจัดแพ็กเกจสนับสนุนการจัดงานสำหรับผู้จัดแสดงงาน (Exhibitor) ผู้จัดงาน (Organizer) และผู้เข้าร่วมงาน (Visitor) ในกลุ่มประเทศเอเชีย รวมถึงสิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ จากผู้จัดงานแสดงสินค้า ผู้ออกร้าน และผู้เข้าร่วมงานจากกลุ่มประเทศนี้ เพื่อรักษาความเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติในภูมิภาคเอเชีย
2. ดึงงานแสดงสินค้าใหม่ และส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้า งานประชุมนานาชาติ หรือ งานเฟสติวัลต่างๆ ที่มีลักษณะงานใกล้เคียงกัน จัดในช่วงเวลาเดียวกัน (Attract new shows + Clustering Events) มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมงานให้มากยิ่งขึ้น
3. ส่งเสริมการขยายงานลงสู่พื้นที่ในภูมิภาคต่างๆ ที่มีศักยภาพ (Driving Opportunities to Regions) อาทิ โครงการไทยแลนด์ ล็อก-อิน อีเวนต์ ที่ดึงงานเข้าสู่พื้นที่อีอีซี
4. ร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ผลักดันให้เกิดการจัดงานใหญ่ในหน่วยงานต่างๆ (Collaborating with Government) เพื่อให้เกิดการจัดงานหนึ่งกระทรวงหนึ่งงานเอ็กซ์โป (One Ministry One Expo) และกระตุ้นให้ภาครัฐเห็นถึงความสำคัญของงานแสดงสินค้านานาชาติ โดยสนับสนุนการจัดงานหรือส่งเสริมการประชุมหรือการแข่งขันภายในงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติภายใต้อุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อเพิ่มองค์ความรู้และยกระดับความสำคัญของงานแสดงสินค้านานาชาติ
5. ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้เข้าร่วมชมงานผ่านช่องทาง Online (Innovation & Technology to Drive Trade Shows) มุ่งเน้นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และกระจายเครือข่ายให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนให้กับผู้จัดงาน และผู้ออกร้าน อีกทั้งการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยียังเป็นการช่วยลดการสัมผัสสำหรับงานที่จัดขึ้นตามปกติด้วย
นายสรรชาย นุ่มบุญนำ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า ทางอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาส่งเสริมการจัดงานแสดงสินค้าในยุควิถีใหม่ โดยงานแสดง ทุกงานได้จัดกิจกรรมและประชาสัมพันธ์งานผ่านช่องทางดิจิทัลต่างๆ อาทิ การจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) เพื่อให้ความรู้กับอุตสาหกรรมและประชาสัมพันธ์งานอย่างต่อเนื่อง, เน้นย้ำสุขอนามัยในการเข้าร่วมงานตามมาตรฐาน Standard Operating Procedure (SOP), เพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์งานให้หลากหลาย เช่น ทางเว็บไซต์, E-newsletter, Facebook และ Line OA, โดยจัดงานแสดงสินค้าในรูปแบบไฮบริด เอ็กซิบิชั่น (Hybrid Exhibition) มีผู้สนใจเข้าชมงานจากหลากหลายประเทศผ่านทางดิจิทัลกว่า 2,500 คน รวมถึงมีการจัดเจรจาธุรกิจทางออนไลน์ (Online Business Matching) กว่า 500 นัด ในหลากหลายอุตสาหกรรมอีกด้วย
นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด กล่าวว่า การจัดงาน Exhibition ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมต่ออุตสาหกรรม พร้อมทั้งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแม้ในช่วงวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา นีโอเองในฐานะผู้จัดงานเเสดงสินค้าระดับนานาชาติได้นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสานร่วมกับครีเอทีฟไอเดียในการสร้างสรรค์งานเเสดงสินค้าในรูปเเบบใหม่ อาทิ Webinar, Live streaming, Virtual Exhibition และ Online Business Matching เพื่อเสริมศักยภาพเเละเพิ่มการเข้าถึงอย่างไร้ขีดจำกัด
“ผมเชื่อว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดกลับเข้าสู่สภาวะปกติ การใช้เทคโนโลยีออนไลน์จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเสริมประสบการณ์ให้กับผู้เข้าร่วมชมงาน และสามารถเป็นแพลตฟอร์มในการเชื่อมต่อเครือข่ายทางธุรกิจกับผู้ซื้อทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นายกวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 และการห้ามเดินทางระหว่างประเทศ บริษัทฯ ได้เริ่มนำ Digital เทคโนโลยีมาใช้ในการจัดงานแสดงของบริษัทฯ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แสดงไทยได้มีโอกาสพบปะกับกลุ่มเป้าหมายผู้ซื้อจากต่างประเทศที่สนใจแต่ไม่สามารถเดินทางมาได้เพราะปิดประเทศ ผลปรากฎได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้แสดง
สำหรับปี 2564 บริษัทฯ ได้เตรียมการจัดงานในรูปแบบ Hybrid คือมีทั้ง Face to Face และ Digital เพราะคาดการณ์ว่าสถานการณ์โควิด 19 คงยังไม่จบและวัคซีนที่ผลิตออกมายังมีไม่เพียงพอ โดย Digital จะครอบคลุมทั้งในส่วนของ International Exhibitors ที่สนใจต้องการขยายตลาดมาประเทศไทยและมาร่วมงานไม่ได้ และ Thai Exhibitors ที่ต้องการขายสินค้าไปต่างประเทศ
“ถึงแม้ในปี 2563 นี้ สถานการณ์โควิด 19 จะส่งผลกระทบให้ไม่สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ตามปกติ แต่ผู้จัดงานในอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ ต่างนำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดงานรูปแบบปกติร่วมกับออนไลน์ (Hybrid Exhibition) ทำให้ยังคงเกิดการเจรจาธุรกิจและการซื้อขายระหว่างนักธุรกิจไทยและกลุ่มลูกค้าในอาเซียนเกิดการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ขึ้นกว่า 15,000 คู่ โดยทีเส็บให้การสนับสนุนงานแสดงสินค้านานาชาติทั้งสิ้นจำนวน 24 งาน ซึ่งมีผู้ร่วมงานจากทั้งในและต่างประเทศรวม 133,259 คน สร้างรายได้ 6,521 ล้านบาท” นายจิรุตถ์ กล่าวทิ้งท้าย