ผู้การบุญส่ง พรมนิล ประธานชมรมมวยไทยนครราชสีมา เป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพยอดนักสู้แห่งเมืองย่าโม “เชน” สามารถ ศรแดง อดีตแชมป์รุ่นเวลเตอร์เวต ตำนานแห่งเจ้าสังเวียน ที่ลืมไม่ลงของวงการมวยไทย
พันเอกบุญส่ง พรมนิล ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 26/ประธานชมรมมวยไทยนครราชสีมา เป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพยอดนักสู้แห่งเมืองย่าโม “เชน” สามารถ ศรแดง อดีตแชมป์รุ่นเวลเตอร์เวต ตำนานแห่งเจ้าสังเวียน ที่ลืมไม่ลงของวงการมวยไทย เป็นการสูญเสียของวงการมวยอีกคน “เชน”สามารถ ศรแดง เป็นอีกหนึ่งตำนานมวยของวงการมวยไทย เจ้าของราวัลฮอลล์ออฟเฟรมสยามกีฬาอวอร์ด สิ้นใจในวัย 87 ปี ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เวลา 11.00น.ของวันที่ 8 สิงหาคม 2563 หลังจากต่อสู้กับอาการเจ็บป่วยมาอย่างยาวนาน ญาติได้นำศพมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณี ณ วัดบำรุงราษฎร์ ตำบลวังน้ำเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เหลือคงไว้เพียงตำนานแห่งความยิ่งใหญ่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและจดจำตลอดไป
พันเอกบุญส่ง พรมนิล ประธานชมรมมวยไทยนครราชสีมา กล่าวว่า ”เชน”สามารถ ศรแดง เป็นอีกหนึ่งตำนานมวยของวงการมวยเมืองไทย เมื่อ 60 กว่าปีที่ผ่านมาได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ หลังจากที่ป่วยมายาวนาน เข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆล่าสุดได้เข้าโรงพยาบาล แต่อาการหนักมาก ทางโรงพยาบาลวังน้ำเขียว ได้ส่งตัวมาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งได้ฝ่าตัด ถึง 3 ครั้ง แต่อาการ ก็ยังทรุดหนัก เพราะหลายโรค ล่าสุดได้สิ้นใจลงในวัน 87 ปี ญาตินำศพมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณี ณ วัดบำรุงราษฏร์ ตำบลวังน้ำเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา โดยมีผู้ที่อยู่ในวงการมวยมาร่วมไว้อาลัยในการจากไปของยอดนักสู้แห่งเมืองย่าโม “เชน” สามารถ ศรแดง ในครั้งนี้จำนวนมาก
สำหรับประวัติโดยย่อ… “เชน”สามารถ ศรแดง หรือนายสามารถ กล้าเชิงรบ (ชื่อเดิม นายบุญแต่ง ทองกระโทก) ชาวจังหวัดนครราชสีมา เกิดเมื่อ พ.ศ. 2476 สถิติการชก 19 ครั้ง ชนะ 10 (น็อค 4) เสมอ 1 แพ้ 8 เกิดที่ จังหวัดนครราชสีมา ต่อมาย้ายไปอยู่ที่ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อโตขึ้นจึงหัดชกมวยไทย ในชื่อ บุญแต่ง ศิษย์แขวง ตระเวนชกในแถบภาคอีสาน ต่อมาจึงเข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯโดยมาอยู่ ที่ค่ายศิษย์สิงห์ ใช้ชื่อว่า สามารถ ศิษย์สิงห์ กลายเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียด้วยการชกแบบบุกตะลุยและมีหมัดขวาที่หนักหน่วง ภายหลังจึงย้ายมาอยู่ค่ายศรแดง ใช้ชื่อว่า สามารถ ศรแดง หลังจากได้ครองแชมป์มวยไทยรุ่นเวลเตอร์เวทแล้ว สามารถหาคู่ชกในแบบมวยไทยไม่ได้จึงหันมาชกมวยสากล และได้ครองแชมป์มวยสากลรุ่นเวลเตอร์เวทของเวทีลุมพินี โดยชนะคะแนน กิมเอี๋ยว ศิษย์ผล และได้ชกกับนักมวยชื่อดังหลายคน เช่น เสมอกับยอร์ช บาร์น รองแชมป์โลกชาวอิตาลี ชนะคะแนน ฮาชิโร ทัตสุมิ จนชกขนะคะแนน เดล ฟลาเนแกน จึงได้เป็นรองแชมป์โลก แต่พอแพ้คะแนน เฮกเตอร์ คอนสแตนท์ จึงถูกปลดจากอันดับโลก ต่อมาเมื่อกลับมากู้ชื่อชนะนักมวยชื่อดังอีกหลายคน เช่น ออมทรัพย์ แหลมฟ้าผ่า สมเดช ยนตรกิจ ดาวทอง สิงหพัลลภ จึงมีโอกาสชิงแชมป์ OPBF รุ่นมิดเดิลเวท ชนะคะแนน ฟูมิโอะ ไกสุ ได้ครองแชมป์ แต่พอป้องกันครั้งแรกก็เสียแชมป์คืนให้ไกสุไปสามารถได้เข้าอับดับโลกอีกครั้งเมื่อชนชนะน็อค มิเกมาซา คาวาคามิ แต่หลังจากนั้นชกแพ้กราวรูดจนถูกปลดออกจากรองแชมป์โลก และเสียแชมป์มวยสากลของเวทีราชดำเนินไป เมื่อชกแพ้บ่อยๆ จึงถูกตั้งข้อหาล้มมวย จนหยุดชกไปหลายปี กลับมาชกอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2512 ก็แพ้น็อคนักมวยรุ่นหลังอย่างง่ายดายจึงแขวนนวมไปอย่างถาวร
ขอขอบคุณภาพข่าวจาก ดาว โคราช/ ไทบ้าน นิวส์ (พรพิพัฒน์ เพ็ชรสังหาร)
