กรมวิชาการเกษตรกำชับชาวสวนจับตาโรคผลเน่าทุเรียนทำลายผลในเปลือก
หลังพบเชื้อราสาเหตุโรคเน่าระบาดหนักหลังเก็บเกี่ยว
กรมวิชาการเกษตร เตือนเกษตรกรเฝ้าระวังโรคผลเน่าทุเรียนบุกสวน ชี้ฝนตก ความชื้นสูงปัจจัยเสี่ยงระบาดหนัก เคลียร์เชื้อราสาเหตุโรคทำลายผลภายในเปลือก ฆ่าเชื้อที่ผิวเปลือกสยบโรคเน่าไม่อยู่ แนะเอกซเรย์สวนถี่ทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยว กำจัดผลเป็นโรคนอกแปลง จุ่มผลในสารป้องกันกำจัดโรคพืช ผึ่งให้แห้ง ก่อนส่งออกตัดวงจรโรคผลเน่า พร้อมเปิดคลินิกพืชให้คำแนะนำ
นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในช่วงนี้กรมวิชาการเกษตรขอแจ้งเตือนเกษตรกรชาวสวนทุเรียนให้เฝ้าระวังโรคผลเน่า ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ผลผลิตทุเรียนมีคุณภาพลดลง โดยโรคนี้พบได้ตั้งแต่ระยะผลอ่อน แต่ส่วนใหญ่มักพบในผลช่วง 1 เดือนก่อนเก็บเกี่ยวจนกระทั่งเก็บเกี่ยว และระหว่างการบ่มผลให้สุก โดยอาการเริ่มแรกจะเกิดจุดแผลขนาดเล็กสีน้ำตาลดำบนผล และจุดแผลจะขยายใหญ่ลุกลามมากขึ้นตามการสุกของผล ในสภาพที่มีความชื้นสูงอาจพบเส้นใยสีขาวของเชื้อราสาเหตุโรคบนแผล โดยจะพบอาการของโรคได้ตั้งแต่ผลยังอยู่บนต้น ซึ่งถ้าอาการรุนแรงมากผลจะเน่าร่วงหล่นก่อนกำหนด
โรคผลเน่ามักพบหลังการเก็บเกี่ยวโดยเชื้อราสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการผลเน่า ได้แก่ เชื้อราไฟทอฟธอรา พาลมิโวรา ซึ่งสามารถป้องกันและลดความเสียหายได้หากมีการปฏิบัติดูแลแปลงตามคำแนะนำ โดยเฉพาะในแปลงที่มีต้นที่เป็นโรครากเน่าและโคนเน่าในแปลงมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีเชื้อราบางชนิดที่สามารถทำให้เกิดการอาการผลเน่าหลังการเก็บเกี่ยวได้ แต่สาเหตุหลักมักพบอาการผลเน่าหลังการเก็บเกี่ยวที่เกิดจากเชื้อราลาซิโอดิพโพลเดีย ธีโอโบรมี และเชื้อราโฟมอปซีส ในพื้นที่ปลูกทุเรียนในภาคตะวันออกและภาคใต้ของไทย ดังนั้นเพื่อป้องกันและลดความเสียหายจากโรคผลเน่าทุเรียนโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่กลางวันสภาพอากาศร้อน และมีความชื้นสูงเนื่องจากฝนตก เกษตรกรควรเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นทั้งก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า การดูแลในแปลงปลูกก่อนการเก็บเกี่ยวให้หมั่นตรวจผลทุเรียนในแปลงอย่างสม่ำเสมอ ตัดผลที่เป็นโรค และเก็บผลเน่าที่ร่วงหล่นนำไปทำลายนอกแปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืชเมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ให้ทั่วทรงพุ่ม จำนวน 1-2 ครั้ง ทุก 7-10 วัน และควรหยุดพ่นสารก่อนเก็บเกี่ยวผลอย่างน้อย 15 วัน ไม่นำเครื่องมือตัดแต่งที่ใช้กับต้นเป็นโรคไปใช้ต่อกับต้นปกติ และทำความสะอาดเครื่องมือก่อนนำไปใช้ใหม่ทุกครั้ง ในแปลงปลูกที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคผลเน่าสูง เนื่องจากมีต้นที่เป็นโรครากเน่าและโคนเน่าในแปลงมาก ประกอบกับมีฝนตกชุกหรือมีความชื้นในอากาศสูงในช่วงทุเรียนใกล้เก็บเกี่ยวผล เชื้อสาเหตุโรคอาจจะติดไปกับผลได้โดยยังไม่แสดงอาการ ดังนั้นการเก็บเกี่ยวผลต้องระมัดระวังไม่ให้ผลสัมผัสกับดิน หรือปูพื้นดินที่จะวางผลด้วยวัสดุหรือกระสอบที่สะอาด เพื่อลดโอกาสที่ผลจะสัมผัสกับดินซึ่งมีเชื้อสาเหตุโรค และการขนย้ายควรระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผลที่ผล
การดูแลผลผลิตทุเรียนหลังการเก็บเกี่ยว ให้เก็บรวบรวมผลเน่าที่ร่วงหล่นในสวน ไปทำลายนอกสวนหากพบผลเน่า 1 ผลต่อต้น หรือสวนที่เป็นโรครากเน่าและโคนเน่ารุนแรง พ่นผลด้วยฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% WP อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ก่อนเก็บผลทุเรียน 30 วัน จุ่มผลทุเรียนด้วยอิมาซาลิล ความเข้มข้น 500 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็นเวลา 3 นาที หรือจุ่มผลทุเรียนด้วยด้วยฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม ความเข้มข้น 2,000 พีพีเอ็ม เป็นเวลา 2 นาที โดยควรทำภายหลังจากการเก็บเกี่ยวทันที เมื่อแช่สารป้องกันกำจัดโรคพืชแล้วต้องผึ่งให้แห้งก่อนการขนส่ง ซึ่งการขนส่งโดยห้องเย็นที่อุณภูมิ 15 องศาเซลเซียสจะช่วยลดความเสียหายจากการแสดงอาการผลเน่าได้
“เชื้อราสาเหตุโรคผลเน่าสามารถแพร่ระบาดได้ด้วยลมและฝน รวมทั้งเศษซากพืชที่เป็นโรคภายในแปลง ดังนั้นจึงขอแนะนำให้เกษตรกรหมั่นสำรวจสวนทุเรียนโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่สภาพอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงที่ทำให้เกิดโรคผลเน่าหลังการเก็บเกี่ยว ที่สำคัญหลังจากเก็บเกี่ยวไม่ควรวางผลทุเรียนสัมผัสกับดินโดยตรง และการขนย้ายต้องทำด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผลและการกระแทกกันของผลทุเรียน อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการป้องกันกำจัดโรคผลเน่า สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คลินิคพืช กลุ่มวิจัยโรคพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช โทร. 0-2579-9583″ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว
ขอบคุณภาพ ข่าวจากพนารัตน์ เสรีทวีกุล กลุ่มประชาสัมพันธ์ กรมวิชาการเกษตร