เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเผยสถิติคดี 10 วันหลังเคอร์ฟิว
พบจำนวนผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ยังสูงสงกรานต์วันแรก ยอดผู้กระทำผิด 1,553 คน
วันนี้ (14 เมษายน 2563) นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยข้อมูลสถิติคดีความผิดตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์ข้อมูลคดี สำนักแผนงานและงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม ได้รวบรวมสถิติคดีดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ภายหลังรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ห้ามบุคคลใดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 04.00 น. โดยไม่มีความจำเป็น และได้มีการผ่อนปรนข้อยกเว้นการห้ามออกนอกเคหสถานในช่วงเคอร์ฟิวสำหรับบางอาชีพเพิ่มเติมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓) ซึ่งมีผลคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา
โดยพบว่าในวันที่ 13 เมษายน ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นวันแรกของเทศกาลสงกรานต์ มีจำนวนคดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาล ดังนี้
กลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง
1. จำนวนคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณา ทั้งหมด 1,320 คดี
2. จำนวนคดีที่พิพากษาแล้วเสร็จ ทั้งหมด 1,211 คดี (คิดเป็นร้อยละ 91.74)
3. ข้อหาที่มีการกระทำความผิด
3.1) พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
จำนวน 1,553 คน (สัญชาติไทย 1,469 คน / สัญชาติอื่น 84 คน)
3.2) พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
จำนวน 39 คน (สัญชาติไทย 38 คน / สัญชาติอื่น 1 คน)
4. จังหวัดที่มีผู้กระทำความผิด สูงสุด 3 อันดับ ในแต่ละข้อหา
4.1) พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
อันดับ 1 ชลบุรี จำนวน 110 คน
กรุงเทพมหานคร จำนวน 110 คน
อันดับ 2 ระยอง จำนวน 75 คน
อันดับ 3 ลพบุรี จำนวน 64 คน
4.2) พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
อันดับ 1 ชลบุรี จำนวน 18 คน
อันดับ 2 ยะลา จำนวน 12 คน
อันดับ 3 สมุทรสาคร จำนวน 3 คน
กลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว
1. จำนวนคำร้องที่ขอตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 68 คำร้อง
2. ข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบจับกุม ได้แก่ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จำนวน 68 คน (สัญชาติไทย 65 คน / สัญชาติอื่น 3 คน)
3. ผลการตรวจสอบการจับ ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 68 คน
ภาพรวมสถิติคดีสะสมตั้งแต่วันที่ 3 – 13 เมษายน 2563 มีดังนี้
กลุ่มศาลอาญา ศาลจังหวัด และศาลแขวง
1. จำนวนคดีที่ขึ้นสู่การพิจารณา ทั้งหมด 9,007 คดี
2. จำนวนคดีที่พิพากษาแล้วเสร็จ ทั้งหมด 8,515 คดี (คิดเป็นร้อยละ 94.54)
3. ข้อหาที่มีการกระทำความผิด
3.1) พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
จำนวน 10,089 คน (สัญชาติไทย 9,460 คน / สัญชาติอื่น 629 คน)
3.2) พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
จำนวน 115 คน (สัญชาติไทย 107 คน / สัญชาติอื่น 8 คน)
3.3) พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542
จำนวน 2 คน (สัญชาติไทย 2 คน / สัญชาติอื่น – คน)
4. จังหวัดที่มีผู้กระทำความผิด สูงสุด 3 อันดับ ในแต่ละข้อหา
4.1) พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร จำนวน 730 คน
อันดับ 2 ชลบุรี จำนวน 462 คน
อันดับ 3 ปทุมธานี จำนวน 455 คน
4.2) พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
อันดับ 1 ชลบุรี จำนวน 42 คน
อันดับ 2 สมุทรสาคร จำนวน 27 คน
อันดับ 3 ยะลา จำนวน 14 คน
4.3) พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542
อันดับ 1 นนทบุรี จำนวน 1 คน
นราธิวาส จำนวน 1 คน
กลุ่มศาลเยาวชนและครอบครัว
1. จำนวนคำร้องที่ขอตรวจสอบการจับ รวมทั้งสิ้น 540 คำร้อง
2. ข้อหาที่เข้าสู่การตรวจสอบจับกุม
2.1) พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
จำนวน 548 คน (สัญชาติไทย 530 คน / สัญชาติอื่น 18 คน)
2.2) พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
จำนวน 4 คน (สัญชาติไทย 4 คน / สัญชาติอื่น – คน)
3. ผลการตรวจสอบการจับ จำนวน 554 คน
3.1) ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 552 คน
3.2) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 2 คน
เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ช่วงนี้จะเป็นเทศกาลสงกรานต์ แต่ในปีนี้รัฐบาลประกาศให้งดกิจกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยังพบว่ามีผู้กระทำผิดรวมกลุ่มดื่มสุราและเล่นน้ำสงกรานต์อยู่ นอกจากนี้ ยังมีผู้อาศัยช่วงเวลาเคอร์ฟิวก่อเหตุลักทรัพย์ในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จึงอยากฝากความห่วงใยและขอความร่วมมือประชาชนให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ช่วงเวลานี้สังคมไทยต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่หากต้องการแสดงออกในวันสงกรานต์ ก็ขอให้ใช้กิจกรรมที่ปลอดภัยแก่ทุกคน เช่น ใช้โซเชียลมีเดีย หรือกิจกรรมในครอบครัวตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ยังคงต้องใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาด และสร้างระยะห่างทางสังคมตามแนวทางเพื่อตัวเองและส่วนรวม คือ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”