ทส. ดับไฟป่าดอยสุเทพ-ปุย จ. เชียงใหม่ หมดแล้ว แต่ยังคงเฝ้าระวังการปะทุขึ้นใหม่
เร่งเสริมกำลังเจ้าหน้าที่ดับไฟใน อ. แม่แจ่มและอมก๋อย ซึ่งยังคงลุกลามในป่าสงวนแห่งชาติ
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสรุปผลปฏิบัติการดับไฟป่าอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยว่า ดับหมดแล้วและไม่มีจุดความร้อน (hotspot) ต่อเนื่องเป็นวันที่ห้า ยังคงเหลือที่ระอะอยู่ใต้ผืนดินซึ่งจะดำเนินการดับให้มอดสนิทและเฝ้าระวังไม่ให้ปะทุขึ้นใหม่ ขณะนี้จัดส่งเจ้าหน้าที่สนับสนุนการดับไฟป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติในอำเภอแม่แจ่มและอมก๋อย รวมทั้งรอยต่อจังหวัดเชียงใหม่-เชียงราย ที่อำเภอท่าสองยาง จังหวัดแม่ฮ่องสอน รอยต่อจังหวัดตาก อีกทั้งต้องเฝ้าระวังไม่ให้เกิด hotspot เพิ่มที่จังหวัดกาญจนบุรีด้วย
สำหรับสถานการณ์ไฟป่าโดยรวม 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบนวันนี้ดีขึ้นมาก ผลการเฝ้าระวังและควบคุมไฟป่า 24 ชั่วโมงทำให้ hotspot จาก 785 จุดเหลือ 461 จุด ลดลง 41% จำนวนคดีไฟป่า เพิ่ม 88 คดี ที่จับกุมได้ 1 คดี ผู้ต้องหาคือ นายชม ฝั่นเลิศซึ่งเผาป่าในจังหวัดแพร่ ขณะนี้จัดชุดเจ้าหน้าที่ซึ่งร่วมกับฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายปกครองเข้าไปทำความเข้าใจในพื้นที่ที่ยังพบการเผา โดยส่วนใหญ่เป็นการเผาในพื้นที่เกษตรซึ่งอยู่ใกล้ป่าเพื่อเตรียมแปลงสำหรับฤดูกาลผลิตใหม่ แล้วไฟลุกลามเข้าไปในป่า หรือตั้งใจเผาป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำการเกษตร รวมทั้งมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจจากการที่กระทรวงทรัพยฯ จัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามกฎหมายซึ่งได้ประสานกับตำรวจเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด ขณะนี้การดับไฟมีประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อยจาก 41% เป็น 24% โดยดับไฟได้ 598 จุดเนื่องจากมีไฟลุกโหมช่วงกลางคืนมาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่อ่อนล้าจากการปฏิบัติงานต่อเนื่องมาถึง 3 เดือนซึ่งให้สับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังเพื่อจะได้ทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่อง
นายอิศเรศ จิระรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมควบคุมไฟป่าหรือชุดเหยี่ยวไฟ กล่าวว่า ชุดเหยี่ยวไฟซึ่งทำหน้าที่ดับไฟป่า 9 จังหวัดภาคเหนือนั้นเริ่มอ่อนล้า แต่ไม่ท้อถอย มุ่งมั่นที่จะดับไฟป่าให้หมด ซึ่งอธิบดีกรมป่าไม้จัดหาเสื้อและกางเกงมาเพิ่มเติมเพื่อใช้ทำงาน รวมทั้งกำชับให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่นละออง PM2.5 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ บางคนมีอาการภูมิแพ้ ล่าสุดมีผู้บริจาคผ้าห่มกันไฟมาให้ด้วยเนื่องจากเห็นถึงความยากลำบากในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ต้องเผชิญกับความร้อนสูง