สภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ เห็นชอบร่วมกันเฝ้าระวังโรคใบร่วงยางพารา ซึ่งทำให้ผลผลิตตกต่ำ
รวมทั้งส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้น ลดการพึ่งพาตลาดซื้อขายล่วงหน้าในต่างประเทศที่มีการเก็งกำไรจนทำให้ราคาผันผวนอย่างมาก
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงผลการประชุมสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ (International Tripartite Rubber Council : ITRC) ครั้งที่ 33 ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียว่า การประชุมดังกล่าว มีประเทศสมาชิกสภาไตรภาคีฯ ทั้ง 3 ประเทศได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียได้พิจารณาเกี่ยวกับการระบาดของโรคใบร่วงยาง (Pestalotiopsis disease) ซึ่งขณะนี้ผลผลิตของประเทศสมาชิกที่เป็นแหล่งผลิตหลักของโลก โดยอินโดนีเซียได้รับผลกระทบมากที่สุด 2.38 ล้านไร่ ไทยได้รับผลกระทบกว่า 300,000 ไร่ และมาเลเซียกว่า 30,000 ไร่ คาดว่า ผลกระทบจากโรคดังกล่าวอาจทำให้ผลผลิตลดลงร้อยละ 70 – 90 และในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบปานกลางทำให้ผลผลิตลดลงประมาณร้อยละ 30 – 50 โดยในปี 2562 ประเทศสมาชิก ITRC ได้คาดการณ์ผลผลิตยางพาราลดลงถึง 800,000 ตัน จากการระบาดของโรคใบยางร่วงดังกล่าว รวมถึง ปัจจัยสภาพอากาศ เศรษฐกิจโลก และมาตรการทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐเอมริกาซึ่งคาดว่าจะมีผลต่อราคายางในตลาดโลก
เลขาธิการ สศก. กล่าวต่อว่า การเฝ้าระวังการระบาดของโรคใบร่วงยาง นั้น ทั้ง 3 ประเทศมีมาตรการในการเฝ้าระวัง ควบคุม กำจัดอย่างต่อเนื่อง โดยมาเลเซียจัดทีมเฉพาะกิจ (task force team) เข้าควบคุม ฉีดพ่นสารควบคุมในพื้นที่ของเกษตรกรที่ได้รับการระบาดของโรค ในขณะที่ไทย สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และกรมวิชาการเกษตร เผยแพร่ข้อมูล ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นการระบาด ย้ำเตือนอาการของโรค ประชาสัมพันธ์แนวทางในการป้องกัน โดยให้ใส่ปุ๋ยบำรุงสม่ำเสมอ หากพบอาการของโรคดังกล่าวให้รีบใช้สารป้องกันฉีดพ่นพุ่มใบให้ทั่วแปลง โดยเครื่องฉีดพ่นสารเคมีแรงดันสูงอย่างน้อย 2 ครั้ง ฉีดพ่นซ้ำ 7-15 วัน โดย สศก. จะร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ติดตามสถานการณ์และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อเตือนภัยอย่างเต็มที่ ซึ่งหากเกษตรกรพบข้อสงสัยว่าจะมีการระบาดของโรคในพื้นที่ หรือต้องการสอบถามข้อมูลรายละเอียดการระบาดและคำแนะนำสามารถสอบถามได้ที่สำนักงานการยางแห่งประเทศไทยใกล้บ้าน นอกจากนี้ที่ประชุม ITRC ยังมอบหมายให้ บริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ (International Rubber Consortium, Ltd: IRCo) เผยแพร่ข่าวให้ทั่วโลกรับรู้ถึงผลกระทบซึ่งส่งผลต่อการลดลงของผลผลิตยางพารา และคาดว่าจะมีผลต่อราคายางในตลาดโลก
ในการประชุม ทั้ง 3 ประเทศได้ประเมินผลการลดปริมาณผลผลิตยางพาราซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายแผนยุทธศาสตร์ยางพาราในระยะ 20 ปีของไทย รวมทั้งประเทศสมาชิกสามารถบรรลุเป้าหมายของมาตรการการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในแต่ละประเทศ โดยแต่ละประเทศมีสัดส่วนการใช้ยางต่อปริมาณผลผลิตในประเทศ ดังนี้ โดยมาเลเซียมีสัดส่วนร้อยละ 78.36 (ข้อมูลระหว่าง ม.ค.- ก.ย. 62) อินโดนีเซียมีสัดส่วนร้อยละ 19.37 (ข้อมูลระหว่าง ม.ค. – พ.ย. 62) และไทยมีสัดส่วนร้อยละ 18.93 (ข้อมูลระหว่าง ม.ค.-ต.ค. 62) อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงอัตราการขยายตัวของการใช้ยางในประเทศ ไทยมีการใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 18.53 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐได้ดำเนินการ เช่น การทำถนนที่มียางพาราเป็นส่วนผสมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางเพื่อเพิ่มมูลค่า เป็นต้น ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซียมีอัตราการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.55 และประเทศมาเลเซียมีอัตราการใช้ลดลงร้อยละ 2.60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยทั้ง 3 ประเทศ เห็นด้วยกับมาตรการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศ รวมถึงมาตรการส่งเสริม/สนับสนุนแหล่งเงินทุนอย่างต่อเนื่องแก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการ เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมยางพาราเพื่อลดการพึ่งพาตลาดล่วงหน้าซึ่งมีการเก็งกำไรกันมาก ส่งผลให้ราคามีความผันผวนอย่างยิ่ง