เกษตรฯ เร่งหาข้อสรุปแนวทางเยียวยาเกษตรกรจากการยกเลิก 3 สาร
ยันกรมวิชาการเกษตรเตรียมเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายออกไป 6 เดือน
นายอนันต์ สุวรรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานคณะทำงานพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิด กล่าวถึงข่าวที่ระบุว่า คณะทำงานฯ จะเสนอของบประมาณเยียวยาเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจก 6 ชนิดได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าวโพด และไม้ผลสูงถึง 33,000 ล้านบาทว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ตัวเลขดังกล่าวนั้นสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ประเมินต้นทุนของเกษตรกร ที่หากยกเลิกใช้ 3 สารแล้วต้องปรับเปลี่ยนไปใช้สารอื่นและเครื่องจักรกลการเกษตรแทนแล้วรายงานมาให้ทราบ ไม่ใช่เป็นข้อสรุปว่า กระทรวงเกษตรฯ จะของบประมาณจากรัฐบาล 33,000 ล้านบาทไปจ่ายเป็นค่าชดเชยแก่เกษตรกร ทั้งนี้ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาแนวทางการช่วยเหลือที่เหมาะสมเพื่อประชุมอีกครั้งในต้นสัปดาห์นี้ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะต้องนำเรียนนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาต่อไป
นอกจากนี้กรมวิชาการเกษตรยังได้ประเมินระยะเวลาการดำเนินการกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิดทั้งการแจ้งการครอบครองและการจัดเก็บ หากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรรมเรื่อง การปรับสถานะ 3 สารเป็นวัตถอันตรายชนิดที่ 4 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ธันวาคมซึ่งตามขั้นตอนกรมวิชาการเกษตรต้องเปิดรับแจ้งการครอบครองภายใน 15 วันและต้องให้ผู้ครอบครองนำมาส่งมอบภายใน 15 วันหลังการแจ้ง ซึ่งเหลือเวลาเพียง 8 วันนั้นกระชั้นชิดมาก ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการนำเข้าและผลิต และร้านจำหน่ายตั้งตัวไม่ทัน อีกทั้งกระบวนการจัดการกับสารเคมี 3 ชนิดซึ่งมีอยู่เกือบ 30,000 ตันนั้น กรมวิชาการเกษตรระบุว่า ต้องใช้เวลาถึง 6 เดือนจึงจะเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายซึ่งจะประชุมในวันที่ 27 ธันวาคมนี้เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายยกเลิกออกไป 6 เดือน แต่การพิจารณาขึ้นอยู่กับคณะกรรมการวัตถุอันตราย
“คณะทำงานฯ ของกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาเรื่องการส่งสารเคมีคงค้างกลับคืนบริษัทและส่งไปประเทศที่ 3 เพื่อลดผลกระทบต่อทุกภาคส่วนและลดค่าใช้จ่ายในการทำลาย ซึ่งกรมวิชาการเกษตรรายงานว่า หากสารเคมีทั้ง 3 ชนิดยังอยู่ในรูปแบบสารตั้งต้นสามารถส่งคืนและส่งออกได้ แต่หากผู้ประกอบการนำมาผสมเป็นสูตรที่ปรับให้เหมาะต่อการกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชของไทยแล้ว ไม่สามารถจะส่งคืนบริษัทหรือส่งไปประเทศอื่นได้ ดังนั้นปริมาณสตอกคงค้างจึงจะยังมีอยู่มาก ต้องใช้เวลาในการจัดเก็บและทำลาย” นายอนันต์กล่าว
นายอนันต์กล่าวอีกว่า สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มอกช.) รายงานว่าขณะนี้ประเทศนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา และสหรัฐอเมริกาทำหนังสือมาถึงเพื่อให้ไทยชี้แจงรายละเอียดการยกเลิก 3 สาร โดยหากยกเลิกจริง ตามระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO) ไทยจะต้องนำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า การตกค้างของสารเคมีที่ยกเลิกนั้นก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพจริงเนื่องจาก หากไทยปรับสถานะพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามนำเข้า ส่งออก ผลิต นำผ่าน และครอบครอง ประเทศคู่ค้าจะไม่สามารถส่งสินค้าเกษตรมายังไทยได้ต่อไปเนื่องจากประเทศคู่ค้ายังคงใช้สาร 3 ชนิดนี้อยู่ แต่มีค่าตกค้างตามคณะกรรมาธิการโครงการมาตรฐานอาหาร (Codex; Joint FAO/WHO Food Standards Programme) หรือแม้จะตรวจสอบพบว่า ค่าตกค้างต่ำกว่า Codex แต่ตามกฎหมายกระทรวงสาธารณสุขกำหนดว่า การตกค้างของอันตรายทางการเกษตรชนิดที่ 4 ต้องมีค่าเป็น 0 (zero tolerance) ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นความเดือดร้อนของเฉพาะประเทศคู่ค้าจากการไม่สามารถส่งสินค้ามาจำหน่ายในไทยได้ แต่ไทยจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการแปรรูปเป็นอาหารและอาหารสัตว์ด้วย หากไม่สามารถนำเข้าได้ อุตสาหกรรมต่อเนื่องภาคการเกษตรจะหยุดชะงัก เกิดวิกฤตการขาดแคลนอาหาร ตลอดจนไม่มีสินค้าส่งออกเป็นผลกระทบต่อทั้งผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ต้องพิจารณาผลกระทบทุกด้านอย่างรอบคอบเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป
ด้านน.ส. มนัญญา ไทยเศรษฐ์กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการนำเข้าและผลิตสารเคมีทั้ง 3 ชนิดเพื่อส่งไปบริษัทผู้ผลิตและประเทศที่ 3 แล้ว ทั้งนี้จะช่วยลดปริมาณสตอกคงค้างในประเทศ ก่อนที่ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมยกเลิกใช้ 3 สารมีผลบังคับใช้ วันที่ 1 ธันวาคมทันที โดยใบขึ้นทะเบียนนำเข้าและครอบครองวัตถุอันตรายมีทั้งหมด 60 ฉบับ ปริมาณ 2,829,913 ลิตร ประกอบด้วย พาราควอตไดคลอไรด์ 5 ฉบับ ปริมาณ 1,480,000 ลิตร ไกลโฟเซต-ไอโซโพรพิลแอมโมเนียม 2 ฉบับ ปริมาณ 9,552 ลิตร คลอร์ไพริฟอส + ไซเพอร์เมทริน 1 ฉบับ ปริมาณ 12,480 ลิตร คลอร์ไพริฟอส 1 ฉบับ ปริมาณ 13,860 ลิตร
และสารชนิดอื่น 51 ฉบับ ปริมาณ 1,314,021 ลิตร ดังนั้นปริมาณสารเคมีทางการเกษตรที่คณะกรรมการวัตถอันตรายมีมติปรับให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 รวม 1,515,892 ลิตร