เกษตรฯ ยังไม่ปิดช่องเอาผิด “ปารีณา” ทำฟาร์มไก่ในที่ส.ป.ก.
ชี้ที่ดินบริเวณนั้นประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว แต่ยังไม่มีการออกเอกสารสิทธิ์ส.ป.ก. 4-01 ให้แก่เกษตรกรแม้แต่รายเดียว
เข้าข่ายครอบครองที่ดินส.ป.ก. เกินกว่า 500 ไร่ เข้าข่ายตามมาตรา 44 อีกทั้งเจ้าตัวยอมรับการเข้าทำประโยชน์จริงผ่านสื่อ เหมือนกับคำสารภาพ รัฐยึดคืนได้ทันที
แหล่งข่าวระดับสูงด้านกฎหมายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ยังมีช่องทางเอาผิดต่อ น.ส. ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงไก่ชื่อ เขาสนฟาร์ม ในที่ดินส.ป.ก. เนื้อที่ 1,706 ไร่ บริเวณหมู่ 6 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรีได้ แม้เจ้าหนี้ที่ส.ป.ก. จะรายงานต่อเลขาธิการส.ป.ก. เพื่อนำเรียนร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของฟาร์มไก่ส.ป.ก. และแบ่งแปลงให้มีเนื้อที่ไม่เกิน 500 ไร่ แต่หลังจากที่ประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินส.ป.ก. ยังไม่ได้นำที่ดินแปลงนี้เข้าสู่กระบวนการจัดสรรสิทธิและยังไม่เคยออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่เกษตรกรแม้แต่รายเดียว
จากการให้ถ้อยคำของน.ส. ปารีณาต่อเจ้าหน้าที่สำนักกฎหมายส.ป.ก. ระบุว่า ครอบครัวได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินผืนนี้ตั้งแต่ปี 2489 ต่อมากรมป่าไม้ได้ส่งมอบให้ส.ป.ก. ประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเมื่อปี 2554 ต่อมาเมื่อมีคำสั่งคสช. ที่ 36/2559 เรื่อง มาตราการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินโดยมิชอบกฎหมาย อาศัยอำนาจตามความใน มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2557 ให้ยึดคืนที่ดินส.ป.ก. จากผู้ที่ครอบครองเกิน 500 ไร่เพื่อนำมากระจายสิทธิ์ให้แก่เกษตรกรและผู้ยากไร้เข้าทำกิน
แหล่งข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดินจังหวัดในปี 2557 อาจเอื้อประโยชน์แก่ครอบครัวน.ส. ปารีณาซึ่งเป็นผู้กว้างขวางในจังหวัดราชบุรี โดยแบ่งซอยเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย เนื้อที่ไม่ถึง 500 ไร่ จำนวน 58 แปลง แล้วนำเสนอต่อผู้บริหารส.ป.ก. แต่ปิดบังว่า เนื้อที่ที่รวมกันแล้วมากถึง 1,706 ไร่นั้น ครอบครองโดยบุคคลเดียวคือ น.ส. ปารีณา จึงรอดพ้นจากการตรวจสอบมาได้
ทั้งนี้ยังพบข้อน่าสังเกตที่ว่า หลังจากมีข้อร้องเรียน น.ส. ปารีณายังไม่ได้นำชี้แนวเขตและให้เจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินซึ่งยังไม่เป็นไปตามขั้นตอนของการพิสูจน์สิทธิ์ครองครองที่ดินตามกฎหมาย ส่วนข้อกล่าวอ้างที่ว่า ตรงกลางของที่ดินผืนนี้มีหนังสือการทำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดินเป็น นส. 3 และสค. 1 นั้นจำเป็นต้องพิสูจน์ความถูกต้องของเอกสารด้วย
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า น.ส. ปารีณาได้ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนว่า เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน 1,706 ไร่จริง ตั้งแต่ที่ดินยังเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ ภบท. 5 มาโดยตลอด ทั้งที่ในปี 2561 ปลัด กระทรวงมหาดไทยมีหนังสือแจ้งเวียนไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ยกเลิกการรับชำระภาษีบำรุงท้องที่ในที่ดินของรัฐทุกประเภทไปแล้ว อีกทั้งถือว่า การเสียภาษี ภทบ. 5 ไม่ได้เป็นหลักฐานในกรรมสิทธิ์ที่ดินแต่อย่างใด ดังนั้นการให้สัมภาษณ์ของน.ส. ปารีณาบ่งชี้ชัดเจนว่า เป็นผู้ครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าว ที่ยังไม่มีการมอบส.ป.ก. 4-01 ให้ ตามหลักกฎหมายแล้วไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปครอบครองได้
สำหรับการพิสูจน์ว่า น.ส. ปารีณาครอบครองที่ดินส.ป.ก. เกินกว่า 500 ไร่ แหล่งข่าวกล่าวว่า สามารถใช้ภาพถ่ายทางอากาศซึ่งจะเห็นรั้วของฟาร์ม แล้วสามารถนำมากำหนดพิกัดและระบุเนื้อที่ได้ว่า เป็นแปลงเดียวที่มีขนาด 1,700 กว่าไร่จริงหรือไม่ นอกจากนี้หากน.ส. ปารีณาไม่นำชี้แนวเขต เจ้าหน้าที่สามารถรังวัดจากพื้นที่โดยรอบรั้วของฟาร์มได้ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่า มีการใช้ประโยชน์โดยบุคคลเดียว
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ส.ป.ก. สามารถดำเนินการตามมาตรา 44 กำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมาย เปิดให้ผู้ครอบครองหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจมาแสดงสิทธิ์ หากไม่มาตามเวลาที่กำหนด สรุปได้ว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่มีผู้ครอบครองสามารถยึดคืนหลวงทันที แต่หากมาพบเจ้าหน้าที่ต้องนำเอกสารถือครองสิทธิ์ทั้งหมดมาแสดง ซึ่งจะต้องตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร หากฟังไม่ขึ้นสามารถใช้มาตรา 44 ยึดคืนได้ทันทีเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถฟ้องคดีแพ่งฐานบุกรุกที่ของรัฐและเรียกร้องค่าเสียหายจากการเข้าทำประโยชน์โดยมิชอบ ตลอดจนค่าชดเชยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ของรัฐ นอกจากนี้ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 ซึ่งระบุว่า ห้ามเข้ายึดถือ ครอบครองที่ดินของรัฐ รวมถึงการก่นถาง และทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษมาตรา 108 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติตามระเบียบ หากผู้ฝ่าฝืนเพิกเฉยสามารถมีคำสั่งให้ออกจากที่ดินและหรือรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“การเร่งชี้แจงว่า น.ส. ปารีณาไม่ได้บุกรุกที่ส.ป.ก. อาจเป็นการด่วนสรุปจนเกินไป จนเกิดข้อกังขาว่า มีความพยายามที่จะช่วยเหลือกันในกลุ่มส.ส. พลังประชารัฐหรือไม่ หากส.ป.ก. ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา สามารถฟ้องร้องเอาผิดต่อน.ส. ปารีณาตามประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าว อีกสิ่งที่สำคัญคือ คำพูดของน.ส. ปารีณาผ่านสื่อมวลชนเองซึ่งยอมรับว่า เข้าทำประโยชน์ที่ดินแปลงนั้นทั้งหมด สามารถใช้มาตรา 44 ยึดคืนได้ ซึ่งต้องดูท่าทีของส.ป.ก. ว่า จะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร” แหล่งข่าวกล่าว