ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยงานภาคี ตัดทำลายกัญชาในพื้นที่อีสานตอนบน ย้ำกัญชายังเป็นยาเสพติด การดำเนินการใดๆ ต้องได้รับอนุญาต
ตามที่เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ได้ทำการสำรวจพบพื้นที่ลักลอบปลูกกัญชาในภาคอีสานตอนบน 3 จังหวัดและสนธิกำลังร่วมกับหน่วยงานภาคีทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองตัดเข้าทำลายในพื้นที่อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร 2 แปลง อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ 2 แปลง และอำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร 26 แปลง รวม 30 แปลง
นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่าแม้นโยบายของรัฐบาลจะผ่อนปรนให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย แต่ไม่ได้หมายถึงประชาชนหรือองค์กรใดก็ตามจะสามารถดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับกัญชาได้โดยไม่ขออนุญาต และยังคงได้รับรายงานว่ามีการปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เห็นได้จากการจับการลักลอบปลูกกัญชาปีงบประมาณ 2562 มีมากถึง 42 คดี ของกลางกัญชารวม 10,266 ต้น และส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ
เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่ารัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายผ่อนปรนให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นให้สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องกัญชาทั้งประโยชน์และโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนต่างๆ ในการขออนุญาตหากประชาชนหรืองค์กรใดต้องการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับกัญชา และโดยเฉพาะหากต้องการใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ควรต้องไปพบแพทย์ เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัย การรักษา และการจ่ายสารสกัดจากกัญชาอย่างถูกต้อง
ดังนั้น ขอฝากถึงประชาชนว่า “การลักลอบปลูกกัญชาผิดกฎหมาย อีกทั้งกัญชาที่มีการลักลอบปลูกส่วนใหญ่พบว่าไม่มีคุณภาพเพียงพอที่จะนำมาผลิตเป็นยาเพื่อใช้รักษาผู้ป่วย โดยจากผลการตรวจวิเคราะห์พบว่าส่วนใหญ่มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และโลหะหนัก อาทิ ตะกั่ว ปรอท สารหนู แคทเมียม ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ โดยหากร่างกายได้รับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอาจส่งผลต่อระบบประสาท และระบบหายใจล้มเหลว แคดเมียมมีผลกระทบต่อกระดูก สารหนูมีผลต่อทางเดินอาหาร ปรอทและตะกั่วมีส่วนให้เกิดมะเร็ง ส่วนคนที่ลักลอบนำมาสูบนอกจากผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจได้รับสารพิษเช่นกัน สุดท้ายขอแนะนำว่าผู้ป่วยที่จะใช้กัญชารักษาโรคต้องได้รับการวินิจฉัยและสั่งใช้จากแพทย์เท่านั้นจึงจะปลอดภัย”
ธวัชชัย เฟื่องอนันต์ รายงาน