“ธรรมนัส ห่วงสภาพเศรษฐกิจทรุด ม็อบมาเต็มกรุงเทพฯ ชี้แก้ปากท้องไม่ได้ เร่งหาตลาดช่วยคนฐานราก ลั่นดึงราคาข้าวหอมมะลิ1.8หมื่นต่อตัน”
เมื่อวันที่ 7 พ.ย.62 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงสภาพเศรษฐกิจตกต่ำจะกระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ ในเรื่องมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้านยังเป็นจุดอ่อนแอมากที่สุด โดยมองว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพเพราะเข้าระบบแล้ว ได้มอบวิปแต่ละพรรครับผิดชอบ และส.ส.กลุ่มพรรคเล็ก ก็มีตัวแทนคุยกัน จะสังเกตุงบประมาณผ่านเที่ยวที่แล้วไม่มีใครแตกแถว แม้เสียงปริ่มน้ำถึงเวลามี253-254เสียง
“แต่ปัญหาหลักของรัฐบาล น่าเป็นห่วงที่สุดคือปัญหาเศรษฐกิจ การเมืองในสภาไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้ ถ้าสภาวะเศรษฐกิจแย่กว่านี้ ชาวบ้านจะมาเต็มกรุงเทพ ถามว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี กระทบไทย ก็กระทบ แต่ประเทศไทยรายได้หลัก จากภาคการเกษตร ท่องเที่ยว ส่วนอุตสาหกรรม เป็นเรื่องคนกลุ่มน้อย ซึ่งคนกลุ่มใหญ่ของประเทศอยู่ในภาคเกษตร ถ้าฐานรากของประเทศอยู่กันไม่ได้ ความมั่นคงของรัฐ ไม่สามารถมีเสถียรภาพได้ รัฐบาลก็ไม่สามารถไปฟื้นอะไรได้มากกว่านี้ ถ้าฐานรากยังแย่ เศรษฐกิจฐานรากไปไม่รอดในฐานะเราเป็นรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่มากที่สุด การแก้ปัญหายั่งยืนได้การให้อาชีพชาวบ้าน มีรายได้เพิ่มขึ้นทุกพื้นที่ให้ได้จะเกิดแรงกระตุ้นไปได้ทั่วประเทศ”ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
รมช.เกษตรฯกล่าวว่า ทุกวันนี้เดินหน้าเอาจริงเอาจังกับแก้ไขปัญหาโครงสร้างภาคการเกษตร ซี่งต้องยกระดับรายได้เกษตรกร โดยการจับมือภาคเอกชน นำตลาดไปให้ถึงเกษตรกร กำลังเร่งขับเคลื่อนหลายจังหวัด เช่น พะเยา พิจิตร เชียงราย ดึงภาคเอกชน เข้าไปสนับสนุนพยุงราคาสินค้าเกษตรให้ชาวบ้านอยู่ได้ ข้าว ยาง มัน ข้าวโพด เช่นตั้งราคาข้าวหอมมะลิ 1.8หมื่นบาทต่อตัน หักความชื้น25% ชาวนามีกำไร7-8พันบาทต่อตัน ก็อยู่ได้แล้ว สมมุติราคา1.5หมื่นบาทต่อตัน หักความชื้นอีก จะได้เหลือไม่มาก รวมทั้งกระทรวงเกษตรฯมีงบปีละแสนกว่าล้าน รายจ่ายประจำกว่าครึ่ง เหลือเงินไปช่วยเกษตกรจริงๆเพียง5หมื่นกว่าล้านบาท ส่วนปีหน้าที่กลัวกันว่าเป็นปีเผาหลอก เผาจริง จะรับม็อบกันอย่างไร พี่มองว่าม็อบมาเพราะเขาเดือดร้อน หากแก้ปากท้องไม่ได้ รัฐบาลอยู่ไม่ได้เป็นอย่างนี้มาทุกยุค ดังนั้นสิ่งที่สำคัญต้องเร่งหาตลาดไปให้ถึงชาวบ้าน จะสร้างความเข้มแข็งในพื้นที่ทุกชุมชนได้