คนอีสานเตรียมนัว ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ เปิดตัวพันธุ์พืชใหม่ ๖ ชนิด เอาใจนักจกส้มตำ

คนอีสานเตรียมนัว

ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ เปิดตัวพันธุ์พืชใหม่ ๖ ชนิด เอาใจนักจกส้มตำ

 

คนอีสานเตรียมนัว ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ เปิดตัวพันธุ์พืชใหม่ ๖ ชนิด เอาใจนักจกส้มตำ ชี้เป็นพืชเศรษฐกิจมีอนาคต ตลาดต้องการสูง ชูลักษณะเด่นผลผลิตสูง ทนทานโรค ผลผลิตมีคุณภาพตามตลาดต้องการ พร้อมเตรียมจำหน่าย จ่าย แจกให้เกษตรกรและผู้ที่สนใน ปี ๒๕๖๓

นายสนอง  จรินทร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า แต่ละปี         กรมวิชาการเกษตร ได้ทำการวิจัย พัฒนา ปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ๆ เพื่อเป็นพันธุ์แนะนำหรือพันธุ์รับรองออกสู่ไร่สวนของเกษตรกร และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเกษตรของประเทศอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกรมวิชาการเกษตร        ได้รับรองพืชพันธุ์ใหม่ซึ่งเป็นผลงานศึกษาวิจัยของศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ จำนวน ๖ พันธุ์ โดยแบ่งเป็น       ประเภทพันธุ์รับรอง ๒ พันธุ์ คือ ๑. มะม่วงหิมพานต์พันธุ์ศรีสะเกษ 3 ๒. มะขามเปรี้ยวพันธุ์ศรีสะเกษ ๑ และ      ประเภทพันธุ์แนะนำ จำนวน ๔ พันธุ์ คือ ๑. พริกขี้หนูเลยพันธุ์ศรีสะเกษ ๔ ๒. มะละกอฮอลแลนด์พันธุ์ศรีสะเกษ  ๓. มะละกอพันธุ์ศรีสะเกษ ๑ และ ๔. มะเขือเทศสีดาพันธุ์ศรีสะเกษ ๒ โดยพืชพันธุ์ใหม่ทั้งหมดกรมวิชาการเกษตร สามารถจำหน่าย จ่ายแจกพันธุ์ให้เกษตรกรผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจได้ใน ปี ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ยกเว้น มะม่วงหิมพานต์พันธุ์ศรีสะเกษ ๓ และมะขามเปรี้ยวพันธุ์ศรีสะเกษ ๑ ที่ยังอยู่ระหว่างขยายพันธุ์พร้อมให้บริการ ประมาณปี ๒๕๖๔

ด้านนายธวัชชัย  นิ่มกิ่งรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการวิจัยพันธุ์พืชใหม่ทั้ง ๖ ชนิด ว่าในจำนวนดังกล่าว มี ๕ ชนิด คือ มะละกอ ฮอลแลนด์พันธุ์ศรีสะเกษ มะละกอพันธุ์ศรีสะเกษ ๑ มะขามเปรี้ยวพันธุ์ศรีสะเกษ ๑ มะเขือเทศสีดาพันธุ์ศรีสะเกษ ๒ และพริกขี้หนูเลยพันธุ์ศรีสะเกษ ๔ เป็นพืชเศรษฐกิจที่เป็นวัตถุดิบหลักใช้สำหรับทำส้มตำ อาหารยอดนิยมของคนอีสาน ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยทุกภูมิภาคที่ทั่วโลกรู้จัก ส่งผลให้แต่ละปีตลาดท้องถิ่น และตลาดภายในประเทศมีความต้องการสูง และบางฤดูกาลถึงขนาดขาดตลาดและมีราคาสูง เช่น มะละกอ มะเขือเทศ ดังนั้น ในการวิจัยปรับปรุงพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ในแต่ละครั้ง กรมวิชาการเกษตรจะทำการสำรวจความต้องการของตลาดก่อน โดยมุ่งวิจัยแก้ไขปัญหาการผลิตพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตให้ได้ผลผลิตมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด ที่สำคัญเป็นพันธุ์ที่ดีกว่าพันธุ์เดิม

สำหรับมะละกอฮอลแลนด์พันธุ์ศรีสะเกษ มีลักษณะเด่น คือ ผลิตเฉลี่ย ๒๔.๕ กิโลกรัมต่อต้น ให้ผลผลิตเร็วกว่าพันธุ์ทั่วไป ๔๕ วัน ต้นเตี้ย เก็บเกี่ยวปฏิบัติดูแลได้ง่าย ความสูงถึงปลายยอด ๑๒๘ เซนติเมตร ลำต้นใหญ่ช่วยป้องกันการหักล้ม ความหนาเนื้อ เฉลี่ย ๓.๐ เซนติเมตร สีเนื้อสีส้มอมแดง เหมาะสำหรับบริโภคสุก

ส่วนมะละกอพันธุ์ศรีสะเกษ ๑ มีลักษณะเด่น คือผลผลิตเฉลี่ยสูง ให้ผลผลิต ๓๐.๘ กิโลกรัม/ต้น  น้ำหนักผล ๑.๘ กิโลกรัม เนื้อหนา ความหนาเนื้อ เฉลี่ย ๓.๓๔ เซนติเมตร สีเนื้อส้มแดง มะละกอพันธุ์ศรีสะเกษ 1 เกิดจาการผสมข้ามระหว่างมะละกอ 2 พันธุ์ โดยเป้าหมายในการวิจัยเพื่อคัดเลือกมะละกอพันธุ์แท้จากมะละกอลูกผสมให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์แขกดำศรีสะเกษ คุณภาพดีเหมาะสำหรับการบริโภคสด และแปรรูป ซึ่งปัจจุบัน ในภาคอีสานมีความต้องการมะละกอสูง เพื่อใช้ทำส้มตำ ทั้งจำหน่ายและบริโภคในครัวเรือน ดังนั้น การวิจัยมะละกอ พันธุ์ศรีสะเกษ ๑ จึงเน้นปรับปรุงพันธุ์ให้มีความกรอบสำหรับบริโภคสด เช่น ผลดิบทำส้มตำ และบริโภคผลสุก มีความทนทานโรค และเป็นพันธุ์ที่ไม่ตัดต่อสารพันธุกรรม หรือ Non GMO ซึ่งพันธุ์ดังกล่าวนอกจากจะเหมาะใช้ทำส้มตำแล้ว ผลมีขนาดใหญ่และเนื้อหนายังสามารถป้อนโรงงานอุตสาหกรรมได้อีกด้วย

มะเขือเทศสีดาพันธุ์ศรีสะเกษ ๒ มีลักษณะเด่น คือ ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูง ๖.๖๒ ตัน/ไร่          รูปร่างของผลกลม น้ำหนักผล 36.7 กรัม/ผล สีผลสุกสีแดงเข้ม ปริมาณวิตามินซี (Ascorbic acid) สูง ๔๓.๓ มก./๑๐๐ กรัมน้ำหนักสด สูงกว่าพันธุ์ ศก.1ซึ่งเป็นพันธุ์เปรียบเทียบถึง 37 % มีปริมาณกรดที่ไทเทรตได้สูงถึงร้อยละ 0.93 ทำให้มีรสเปรี้ยวเหมาะสำหรับใส่ส้มตำ

มะม่วงหิมพานต์พันธุ์ศรีสะเกษ ๓ มีลักษณะเด่น คือ ผลผลิตสูง โดยผลผลิตเมล็ดทั้งเปลือก         เฉลี่ย ๓ ปี (อายุ ๕-๗ ปี) เท่ากับ ๕.๓๘ กิโลกรัมต่อต้น น้ำหนักเมล็ดทั้งเปลือกเท่ากับ 8.5 กรัม /เมล็ด น้ำหนักเมล็ดเนื้อในเฉลี่ย 2.6 กรัม/เมล็ดหรือคิดเป็น 30.8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักเมล็ดทั้งเปลือก กรมวิชาการเกษตร ได้มีการรับรองพันธุ์มะม่วงหิมพานต์มาแล้ว ๒ พันธุ์ คือ ศรีสะเกษ ๖๐-๑ และ ศรีสะเกษ ๖๐-๒ พันธุ์ใหม่นี้เป็นพันธุ์ที่มีศักยภาพสามารถให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เดิม เพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงหิมพานต์ สำหรับมะม่วงหิมพานต์ ปัจจุบันประสบปัญหาผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด ทำให้เมล็ดเนื้อในราคาสูงถึง ๔๐๐-๕๐๐ บาท/กิโลกรัม ที่สำคัญคนส่วนใหญ่อาจยังไม่ทราบว่าต้นมะม่วงหิมพานต์นั้น สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ตั้งแต่เปลือก ราก ใบ เปลือกหุ้มเมล็ด โดยเฉพาะเปลือกเมล็ดนำมาสกัด กรดน้ำมันที่นำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลายด้าน อาทิ ใช้ทำหมึกพิมพ์ ผลิตสีทาบ้าน ใช้ในกระบวนการทำผ้าเบรก เป็นต้

 

พริกขี้หนูเลย พันธุ์ศรีสะเกษ ๔ มีลักษณะเด่น คือ เป็นพริกผสมเปิดสายพันธุ์ใหม่ ผลผลิตสดเฉลี่ยสูง ๑,๕๙๖ กิโลกรัม/ไร่ ผลแห้ง ๒๘๔ กิโลกรัม/ไร่ ความเผ็ดเท่ากับ ๗๓,๘๗๙ สโกวิลล์จัดเป็นพริกเผ็ดปานกลางเหมาะสำหรับบริโภคสด อีกทั้งเกษตรกรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ใช้ได้เอง ช่วยลดต้นทุนด้านเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกร เหมาะสำหรับแนะนำส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกทั้งในครัวเรือนและเป็นการค้า

มะขามเปรี้ยว พันธุ์ศรีสะเกษ ๑ มีลักษณะเด่น คือ ผลผลิตเฉลี่ยสูง ๔.๔ กิโลกรัมต่อต้นต่อปี (อายุ ๕-๗ ปี) ปริมาณเนื้อสูง มีปริมาณเนื้อ ๔๗.๙% ฝักมีขนาดใหญ่ จำนวนฝักต่อกิโลกรัมเท่ากับ ๔๘.๕ ฝักสามารถ เป็นลักษณะฝักดาบซึ่งสะดวกในการแกะเปลือกและให้รูปลักษณ์และคุณสมบัติที่ดีเหมาะแก่การแช่อิ่ม มีปริมาณกรดทาร์ทาริคร้อยละ 13 นิยมมาใส่เป็นเครื่องปรุงในอาหารไทยหรือแปรรูป เช่น น้ำมะขาม ลูกอมมะขาม มะขามกวน มะขามแก้ว เป็นต้น

การวิจัยปรับปรุงพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ ทั้ง ๖ ชนิด ในครั้งนี้มุ่งพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพ ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์เดิมที่เกษตรกรใช้อยู่ในปัจจุบัน และมีลักษณะดีเด่นทางการเกษตรที่ตลาดต้องการมากที่สุด พันธุ์พืชของ     กรมวิชาการเกษตร เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองต่อความต้องการของเกษตรกรผู้ผลิตและรองรับความต้องการของตลาดอย่างแท้จริ