ชาวบ้านรวมไทยและย่านซื่อ อำเภอกุยบุรี ร่วมเวทีศึกษาปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ดิน
เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 21 ตุลาคมคม 2562 ที่ศาลาการเปรียญ วัดรวมไทย ต.หาดขาม อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้มีประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่หมู่ 7 บ้านรวมไทย และพื้นที่หมู่ 9 บ้านย่านซื่อ รวมกว่า 200 คน นัดพบปะพูดคุยเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ ในเรื่องการขอให้ทางราชการพิจารณาออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินให้กับประชาชนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยและประกอบอาชีพเกษตรกรรมในพื้นที่ 2 หมู่บ้านดังกล่าวมานานหลายสิบปี โดยได้เชิญนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอดีตสมาชิกสภาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายดิเรก จอมทอง พร้อมคณะทำงานของนายวิชิต นายบุญรอด เขียวเพชร นายก อบต.หาดขาม เข้าร่วมการพูดคุยและรับฟังปัญหาในครั้งนี้ด้วย
นายดิเรก กล่าวว่าก่อนหน้านี้ กรณีพื้นที่เขตนิคมสร้างตนเอง ตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ มากกว่า 10,000 ไร่ ไปทับซ้อนกับเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่ากุยบุรี ทำให้กรมที่ดินไม่อาจออกเอกสารสิทธิ์แบบ น.ค.3 เป็นโฉนดที่ดินให้กับประชาชน ต่อมาสภาองค์กรชุมชนตำบลอ่าวน้อย จึงได้เข้าขอคำปรึกษาจากนายวิชิต ก่อนร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินที่ผู้ได้รับความเดือดร้อน
จากนั้นทำหนังสือยื่นขอความกรุณาจากท่านอธิบดีกรมป่าไม้ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2562 ให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเร่งรัดการออกโฉนดที่ดิน ล่าสุดวันที่ 8 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมาได้จัดเวทีประชาพิจารณ์ สมาชิกนิคมสร้างตนเองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เรื่องการเพิกถอนผืนป่าในเขตอุทยานแห่งชาติ ป่ากุยบุรี และส่วนราชการแจ้งให้ทราบแล้วว่า กรณีเขตพื้นที่ทับซ้อนเขตนิคมสร้างตนเองจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นี้ กรมป่าไม้ มีฐานข้อมูลอยู่แล้ว โดยหลักการที่ถือปฏิบัติคือ ที่ดินใดที่เคยกำหนดเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและหน่วยงานรัฐนำไปจัดสรรเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรแล้วนั้น ไม่มีเหตุผลใดที่ทางกรมป่าไม้จะเรียกคืนมาเป็นของรัฐอีก ดังนั้นภายในปี 2563 คาดว่าจะสามารถดำเนินได้แล้วเสร็จ
นายวิชิต กล่าวว่า การจัดสรรที่อยู่อาศัยและที่ทำกินให้กับประชาชนในเขตพื้นที่หมู่ 7 บ้านรวมไทย และพื้นที่หมู่ 9 บ้านย่านซื่อ มีคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รับผิดชอบการจัดสรรที่ดินของชาติทั่วประเทศ ส่วนในระดับจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน การจัดสรรที่ดินเขตหมู่บ้านรวมไทยเป็นแบบที่ดินผืนเดียวแต่นำมาจัดแบ่งเป็นล็อคๆ รายละ 3 ไร่เพื่อปลูกที่อยู่อาศัยและ 20 ไร่เพื่อใช้เป็นพื้นที่ประกอบอาชีพ แตกต่างกับหมู่บ้านย่านซื่อ ที่ส่วนใหญ่เป็นการเช่าจากรัฐระยะยาว 30 ปี ที่เหมือนกันคือ ไม่มีการออกสารสิทธิ์ที่ดินใดๆ ให้กับประชาชนแม้จะอยู่มานานหลายสิบปีก็ตาม การมาร่วมกันแสดงความคิดเห็นและรับฟังปัญหาในครั้งนี้ตนถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เป็นการเริ่มต้นศึกษาปัญหาร่วมกันผลักดันให้ภาครัฐพิจารณา ตนได้ติดตามและรับทราบปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ดินของพี่น้องรวมไทยและย่านซื่อมาตลอด ทุกครอบครัวที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ล้วนอยากเป็นเจ้าของที่ดินตามกฎหมายในที่ดินที่ตนอาศัยมานานหลายสิบปีตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย บางส่วนอยากเข้าถึงโอกาสการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเพื่อต่อยอดการประกอบอาชีพของครอบครัว จากนี้ไปคงต้องร่วมกันตั้งคณะทำงาน ให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมกันศึกษารายละเอียดและผลักดันให้ภาครัฐพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ตนและทีมงานยินดีประสานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ต้องยึดประโยชน์ที่จะตกแก่ประชาชนเป็นหลักเท่านั้น ก่อนจบการพบปะพูดคุยกว่า 2 ชั่วโมง ที่ประชุมได้ร่วมกันแสดงประชามติด้วยการยกมือเป็นเอกฉันท์ ในการเดินหน้าร่วมกันทำงานต่อไป
พันธุ์พงษ์ โพธิ์จินดา ประจวบคีรีขันธ์