ยุ่งแล้ว!! รมว. เฉลิมชัย ยัน ดำเนินมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิดตามประกาศกระทรวงเกษตรฯ ที่มีบังผลบังคับใช้วันนี้ ชี้ไม่ทำ ผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ประธานศพก. ระดับประเทศระบุ เกษตรกรพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิดสามารถใช้ทั้ง 3 สารได้อยู่ ตามประกาศกฏกระทรวงเกษตรฯ อย่างเคร่งครัด
จนกว่าคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีมติอื่นใดในวันที่ 22 ตุลาคมนี้
เมื่อวันที่ 20 ต.ค.62 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่ากระทรวงเกษตรฯ ต้องดำเนินมาตรการจำกัดการใช้สารเคมี 3 ชนิดได้แก่ คลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเสตตามประกาศกระทรวงเกษตรฯ 5 ฉบับที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ (20 ตุลาคม) จนกว่าคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีมติอื่นใด ซึ่งไม่ทราบว่า ในการประชุมวันที่ 22 ตุลาคมนี้จะมีวาระพิจารณาเรื่องสารเคมีดังกล่าวหรือไม่ หากมีก็ต้องรอดูว่า จะมีมติให้จำกัดการใช้ต่อไปหรือยกเลิก ทั้งนี้การประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายไม่ได้แจ้งมาที่รมว. เกษตรฯ แต่จะแจ้งไปที่กรรมการโดยตรงซึ่งผู้แทนของกระทรวงเกษตรฯ ที่เป็นกรรมการมี 5 คนจากทั้งหมด 29 คนได้แก่ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร อธิบดีกรมปศุสัตว์ อธิบดีกรมประมง และเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
“ไม่ว่า คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีมติอย่างไร กระทรวงเกษตรฯ ในฐานะหน่วยงานปฏิบัติต้องทำตาม แต่ในขณะนี้ยังคงต้องดำเนินมาตรการจำกัดการใช้ตามมติเดิม ไม่เช่นนั้นกระทรวงเกษตรฯ จะผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่ทั้งนี้ได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรในด้านต่างๆ ไว้แล้ว” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้านนายเชิดชัย จิณะแสน กรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการจำกัดการใช้สารเคมีทางการเกษตรและประธานคณะกรรมการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ระดับประเทศ กระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ได้ทำหนังสือแจ้งประธานศพก. 882 อำเภอทั่วประเทศว่า เกษตรกรที่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมี ให้ใช้ต่อไปได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎการใช้และข้อห้ามอย่างเคร่งครัด ตามประกาศ 5 ฉบับของกระทรวงเกษตร ทั้งนี้ภาคการเกษตรของไทยมี 3 กลุ่มคือ กลุ่มเกษตรเคมี กลุ่มเกษตรปลอดภัย และกลุ่มเกษตรอินทรีย์ซึ่งแต่ละกลุ่มเลือกวิถีเกษตiกรรมตามสภาพพื้นที่ ทุนดำเนินการ และปัจจัยแวดล้อม แต่ขอให้สมาชิกศพก. อย่าเปรียบเทียบว่า สินค้าเกษตรของกลุ่มใดดีกว่ากันเนื่องจากจะทำให้เกิดความขัดแย้งและนำไปสู่การแบ่งข้างตามกระแสโซเชียลมีเดีย
นายเชิดชัยกล่าวต่อว่า เรื่องสำคัญคือ อีก 2 วันข้างหน้า (22 ตุลาคม) จะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายซึ่งหากมีมติยกเลิกสารเคมีทั้ง 3 ชนิดอาจสร้างความเสียหายให้แก่กลุ่มเกษตรไร่อ้อย ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ยางพาราข้าวโพด และไม้ผล รวมถึงอื่นๆ ด้วย เกษตรกรเกรงว่า การช่วยเหลือของภาครัฐจะล่าช้าจนนำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นรัฐบาล จึงขอให้ทุกภาคส่วนโปรดพิจารณาข้อมูลทางวิชาการอย่างรอบด้านและหันมาพูดคุยกันเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกษตรกรต้องขาดเครื่องมือในการประกอบอาชีพและยังสร้างความแตกแยกทางความคิดในสังคมอีกด้วย
ทั้งนี้ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 ฉบับนั้นมีสาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด 6 มาตรการสารเคมีทั้ง 3 ชนิดซึ่งกำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีทั้ง 3 ชนิดได้แก่ เกษตรกรผู้ใช้ ผู้รับจ้างพ่น ผู้ขาย ผู้นำเข้า/ผู้ผลิต และพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ใช้และผู้รับจ้างพ่นสารเคมีทั้ง 3 ชนิดต้องผ่านการอบรม และหรือผ่านการทดสอบความรู้ตามหลักสูตรการใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเนื้อหาที่อบรมประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้/อันตรายจากการใช้ ความเป็นพิษต่อร่างกาย สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม การใช้สารเคมีอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย การอบรมให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่จากกระทรวงมหาดไทยได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลเกี่ยวกับมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดและบทบาทหน้าที่ในฐานะที่แต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการเข้าไปตรวจสอบการใช้ 3 สารภายในเขตท้องที่รับผิดชอบ ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535
ส่วนมาตรการจำกัดการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดนั้นกำหนดให้ใช้พาราควอตและไกลโฟเสต เฉพาะเพื่อกำจัดวัชพืชในการปลูกอ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผลเท่านั้น ส่วนคลอร์ไพริฟอสให้ใช้เฉพาะกำจัดแมลงในการปลูกไม้ดอก พืชไร่ และเพื่อกำจัดหนอนเจาะลำต้นในไม้ผล รวมทั้งได้กำหนดพื้นที่ห้ามใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด โดยห้ามใช้ในพื้นที่ปลูกพืชผักหรือพืชสมุนไพร พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่สาธารณะ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับหน่วยงานราชการ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมทางหลวงชนบท ที่ใช้สารกำจัดวัชพืช เพื่อกำจัดวัชพืชข้างทางรถไฟ และข้างถนน ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้เตรียมออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย แต่ต้องมาขออนุญาตเพื่อใช้สารกำจัดวัชพืช ตามพื้นที่และปริมาณที่กำหนดโดยตรงต่อกรมวิชาการเกษตร
ตามที่ประกาศกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ในวันนี้ เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องซึ่งได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นและกรมวิชการเกษตรได้จัดทำระบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพไว้แล้ว เกษตรกรและผู้รับจ้างพ่นต้องมีเอกสารรับรองการผ่านการอบรม ส่วนการจะซื้อสารเคมีนั้นจะต้องแสดงหลักฐานเกี่ยวกับชนิดพืชที่ปลูก พร้อมจำนวนพื้นที่ปลูกเพื่อกำหนดปริมาณสารเคมีที่จะได้รับอนุญาตให้ซื้อได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนมีความปลอดภัยทั้งต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม