กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชอุตสาหกรรมเตรียมบุกกระทรวงเกษตรฯ ร้อง “เฉลิมชัย” ถึงความเดือดร้อนหนัก  หากยกเลิกสารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ชนิด

กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชอุตสาหกรรมเตรียมบุกกระทรวงเกษตรฯ ร้อง “เฉลิมชัย” ถึงความเดือดร้อนหนัก  หากยกเลิกสารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ชนิด

ชี้มีพรรคการเมืองจะได้ประโยชน์จากการนำเข้าสารเคมีที่มาทดแทน ขณะที่นักวิชาการ จุฬาฯ ขอให้ผู้บริหารบ้านเมืองใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พิจารณาสารเป็นรายชนิด

เนื่องจากวิธีใช้และระดับพิษต่างกัน การตีขลุมจะทำให้เกษตรกรขาดเครื่องมือในการประกอบอาชีพ

 

 

นายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย กล่าวว่า ในวันที่ 21 ตุลาคม เวลา 10:00 น. กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก 6 ชนิดได้แก่ อ้อย ปาล์มน้ามัน ยางพารา มันสาปะหลัง ข้าวโพด และไม้ผลจะร่วมกันแถลงข่าวที่โรงแรมเอเซียเพื่อชี้แจงข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อเกษตรกร หากรัฐยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิด โดยเฉพาะพาราควอตซึ่งเป็นสารกำจัดวัชพืชที่มีประสิทธิภาพและราคาถูก อีกทั้งจะแสดงข้อมูลแย้งเอ็นจีโอที่ระบุว่า พาราควอต ตกค้างในพืชผักซึ่งเป็นเรื่องเท็จ เนื่องจากพาราควอตมีฤทธิ์เผาไหม้ เกษตรกรใช้ฉีดกำจัดหญ้าเท่านั้น ไม่ได้ฉีดใส่ต้นผักหรือไม้ผล ทั้งนี้ล่าสุดผู้แทนเอ็นจีโอกล่าวว่า มีเกษตรกรใช้เครื่องพ่นยากำลัง 6 สูบฉีดพาราควอตต้นทุเรียนนั้น แสดงให้เห็นแล้วว่า สร้างความน่ากลัวเกินเหตุเพราะการฉีดยาฆ่าหญ้าใช้เครื่องพ่นขนาดเล็กและจะระวังไม่ให้ถูกไม้ประธานเพราะต้นไม้จะเสียหาย

ส่วนในช่วงบ่ายจะไปที่กระทรวงเกษตรฯ เพื่อพบนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อนำเสนอข้อมูลการใช้สารเคมีของเกษตรกรและขอให้แก้ปัญหานี้ ในฐานะที่รมว. เฉลิมชัยเป็นผู้บริหารสูงสุดของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งมีหน้าที่ต้องดูแลเกษตรกร ทั้งนี้กลุ่มเกษตรกรเชื่อว่า การเร่งเดินหน้ายกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิดเป็น “ทฤษฎีสมคบคิด” ของ 3 กลุ่มคือ องค์กรที่อ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อประชาชน นักการเมืองโกหกที่ต้องการให้แบนสารนี้และให้ใช้สารทดแทนซึ่งมีราคาแพงกว่า โดยตั้งบริษัทนำเข้าสารเคมีทดแทนไว้แล้ว และนักวิชาการที่ให้ข้อมูลบิดเบือน การที่กลุ่มบุคคลนี้ป่าวประกาศว่า ประเทศไทยอาบยาพิษส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรจึงไม่ได้เป็นการทำเพื่อเกษตรกร ทั้งยังทำให้เกิดความขัดแย้งวุ่นวายในสังคม

“รัฐจะให้เกษตรกรเลิกใช้พาราควอต ขณะที่นำเข้าผักและผลไม้จำนวนมากจากจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้พาราควอต ดังนั้นหากเกรงว่า พาราควอตเป็นพิษ คนไทยยังต้องบริโภคพืชผักจากประเทศอื่นที่ใช้พาราควอตอยู่ ขอเรียกร้องให้ผู้บริหารนำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์มาแสดงให้ประชาชนทั้งประเทศรับทราบและมีส่วนในการตัดสินใจเนื่องจากที่ผ่านมา เอ็นจีโอออกมาให้ข้อมูลฝ่ายเดียว ขณะที่กรมวิชาการเกษตรซึ่งกำกับดูแลการใช้สารเคมีทางการเกษตรไม่ได้นำเสนอข้อมูลทางวิชาการใดๆ เลย” นายสุกรรณ์กล่าว

รศ. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ควรแยกการพิจารณาสารทั้ง 3 ชนิดเนื่องจากเป็นสารคนละประเภท ระดับความเป็นพิษไม่เท่ากัน และวิธีการใช้ให้เหมาะสมก็แตกต่างกัน โดย “คลอร์ไพรีฟอส” ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงที่มีระดับความเป็นพิษปานกลาง หากใช้ไม่เหมาะสมอาจจะมาถึงผู้บริโภคได้ หากรัฐต้องการยกเลิกสามารถยกเลิกได้เลย

ส่วน “พาราควอต” เป็นยาฆ่าหญ้าซึ่งวิธีการใช้ไม่ได้ทำให้ส่งผลตกค้างมามาสู่ผู้บริโภคจึงควรการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้ใช้ได้อย่างเหมาะสมได้แก่ การอบรมเกษตรกรสาร รวมทั้งมีระเบียบการเก็บรักษาไม่ให้เสี่ยงเป็นอันตราย สำหรับยาฆ่าหญ้าอีกชนิดคือ “ไกลโฟเซต” นั้น องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารโลก FAO จัดว่ามันเป็นสารที่ใช้ได้โดยไม่ก่อให้อันตรายต่อสุขภาพเพราะเป็นสารที่มีระดับความเป็นพิษต่ำ ประเทศต่างๆ ที่ต้องการยกเลิกใช้พาราควอตมักนิยมใช้ไกลโฟเซตเป็นสารทดแทน จึงไม่มีความจำเป็นต้องยกเลิก

รศ. เจษฎากล่าวว่า ทางออกที่รัฐควรเร่งทำคือ การจัดเวทีให้ทั้งผู้แทนฝ่ายหนุนและต้านการใช้นำข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มานำเสอนให้ประชาชนได้รับทราบซึ่งเป็นวิธีการที่นานาอารยะประเทศใช้แก้ปัญหา กรณีที่สังคมมีความเห็นไม่ตรงกัน แล้วให้สังคมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการนำเสนอปัญหา ผลกระทบ และทางแก้ไขที่เป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเวทีตอบโต้กล่าวหากันไปมาซึ่งปรากฏในโซเชียลมีเดียเป็นเวลานานแล้ว

“ขณะนี้พบว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาตอบไม่ได้ก็ใช้วิธีกล่าวหาตัวบุคคล ใครที่แสดงความเห็นว่า ต้องการใช้สารเคมีทางการเกษตรกลายเป็นผู้ร้าย โดยไม่ได้คำนึงว่า เกษตรกรยังจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการประกอบอาชีพ หากผู้บริหารรู้สึกห่วงใยเรื่องความปลอดภัยควรรับฟังข้อมูลให้รอบด้าน การกล่าวว่า ผู้บริหารไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องจึงเป็นคำพูดที่น่ากังวลมากเนื่องจากปัญหาสำคัญๆ นั้น ผู้บริหารต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องในการตัดสินใจ ใช้อารมณ์และความรู้สึกเท่านั้นไม่ได้ แต่ไม่แน่ใจว่า จะสายเกินไปหรือไม่เนื่องจากคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะประชุมวันที่ 22 ตุลาคมนี้แล้ว ขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบยังโยนกันไปมาและเลี่ยงที่จะแก้ปัญหาซึ่งผู้ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือ เกษตรกรทั้งประเทศ” รศ. เจษฎากล่าว

 

 

You May Have Missed!

1 Minute
โรงพยาบาล
สำนักอนามัยจัดกิจกรรมรณรงค์วันส้วมโลก ประจำปี 2567 ณ โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
1 Minute
โรงพยาบาล
โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ จัดพิธีทำบุญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงพยาบาล
0 Minutes
ข่าวประชาสัมพันธ์
ทรู แจกใหญ่ จัดหนัก กับ แคมเปญ “รวยคูณสอง แจกทอง แจกรถ” ร่วมกับ 8 พาร์ทเนอร์ชั้นนำ มอบโชคใหญ่ให้ลูกค้าทรู ดีแทค รวมมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท เพียงสมัครบริการเสริม ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลทันที ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พ.ค. 68
1 Minute
ข่าวประชาสัมพันธ์
คณะกรรมการบริหารโรงเรียนปลูกปัญญา แต่งตั้ง “บิ๊กทิน” ผจก.ฟุตซอลทีมชาติไทย  เป็นประธานที่ปรึกษาโรงเรียน