“ชาวไร่มันสำปะหลัง โวยขาดทุนหนักหากแบน3สาร แฉมีนักการเมือง ตั้งบริษัทนำเข้าสารทดแทนไว้แล้ว”
เมื่อวันที่ 16 ต.ค.62 นายภมร ศรีประเสริฐ ตัวแทนผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง เปิดเผยว่าจะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีว่ารัฐบาลมีนโยบายจะต้องสร้างรายได้ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี แต่ขณะนี้นโยบายและการปฏิบัติสวนทางกัน รัฐบาลสับสนปล่อยให้บางพรรคทำอะไรโดยไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลหากจะมีการแบนสารเคมีควรจะต้องมีการดำเนินการเป็นขั้นตอน เช่น หากปลูกเกษตรอินทรีย์ ต้องหาตลาดสร้างแรงจูงใจและหาตลาดรองรับ ไม่เช่นนั้นจะกระทบต้นทุนเกษตรกร เพิ่มขึ้น โดยชาวไร่มันต้นทุนเพิ่มจาก กก.ละ 1.80 เป็น 2.20-2.30 บาท แต่ขายได้ราคาเท่าเดิม กก.ละ 2.00 บาท เท่ากับเกษตรกรขาดทุน
“การดำเนินการขณะนี้ผมขอเรียกว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด มีอยู่สามกลุ่มที่เกี่ยวข้องคือองค์กรปีศาจที่อ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อประชาชน ถ้าหากจะให้แบนสารเคมีเหตุใดจึงเลือกเพียง 3 ชนิด ต้องแบนทั้งหมด และนักการเมืองตอแหล ที่ต้องการให้แบนสารนี้และไปหาสารทดแทน ที่ได้ไปตั้งบริษัทนำเข้าสารเคมีทดแทนไว้แล้ว ราคาแพงกว่าและจะนำเงินรัฐไปชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกร และนักวิชาการดัดจริต ซึ่งหากทำงานวิจัยก็ต้องตรงกับสิ่งที่ประชาชนเดือดร้อน อีกทั้งการไปโฆษณาว่าประเทศไทยอาบยาพิษส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรด้วยซึ่งไม่ได้เป็นการทำเพื่อเกษตรกรทั้งยังทำให้เกิดความขัดแย้งวุ่นวายส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลง”นายภมร กล่าว
ด้านนายเปรม ณ สงขลา บรรณาธิการวารสารเคหะการเกษตร กล่าวว่า ปัญหาภาคเกษตรไทยขาดแคลนแรงงาน ทำให้จำเป็นต้องใช้สารเคมี และปุ๋ย โดยเฉพาะพาราควอตเป็นสารเคมีที่ดี มีประสิทธิภาพสูง ยังไม่สามารหาสารทดแทนได้ หากคณะกรรมการจะยกเลิกควรพิจารณาเป็นรายชนิด โดยสารคลอไพริฟอสเป็นสารที่สามารถยกเลิกได้ทันที ขณะที่พาราควอตและไกลโฟเสทควรมีขั้นตอนในการยกเลิก ซึ่งควรปล่อยให้เป็นหน้าที่คกก.วัตถุอันตราย
“การแบนสารจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ซึ่งจากข้อมูลสำนักวานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี 2562 คาดว่า จีดีพีภาคเกษตรจะมีมูลค่า 1.32 ล้านล้านบาท หากแบน 3 สารจะทำให้จีดีพีภาคเกษตรลดลง 570,901 ล้านบาทหรือ 43%”นายเปรม กล่าว