ผบช.สตม. แถลงข่าว
“จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดพิจิตรที่ฉ้อโกงคนไทยและคนเวียดนาม มูลค่ากว่า ๑๓๐ ล้านบาท”
ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับ ดูแลชาวต่างชาติ ที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด นั้น
สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พรชัย ขัยตี รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.มานะ นาคทั่ง รอง
ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ปฏิบัติราชการ สตม.,พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.ภ.2 ปฏิบัติราชการ สตม.,พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบก.ปส.3 ปฏิบัติราชการ สตม., พ.ต.อ.พงษ์นคร นครสันติภาพ รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.สส.ภ.๖, พ.ต.อ.ปฏิญญา จีรชนาสิน ผกก.กก.4 บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ณรงค์ศักดิ์ ศรีนารอด ผกก.สส.๓บก.สส.ภ.๖,พ.ต.ท.เอกสิทธิ์ ปานสีทา รอง ผกก.4 บก.สส. สตม.,พ.ต.ท.ธนกร ทิพย์ศิริ สว.กก.สส.๓ บก.สส.ภ.๖,พ.ต.ท.ทศพร ตันสุวรรณ์ สว.กก.สส.ปป.บก.ตม.๒,พ.ต.ต.อดิศักดิ์ ปาโส สว.กก.๔ บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้
เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ กองบังคับการสืบสวนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้รับการประสานจากสถานีตำรวจภูธรเมืองพิจิตร ว่ามีผู้ต้องหาชาวเวียดนามตามหมายจับของศาลจังหวัดพิจิตร ที่ จ.176/2562 ลง 23 ส.ค.2562 ชื่อ MR.NGOC อายุ 30 ปี หมายเลขหนังสือเดินทาง C 663xxxx สัญชาติเวียดนาม ได้หลบหนีออกจากประเทศไทย โดยขอความร่วมมือสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบ หากผู้ต้องหาเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทยให้จับกุมและนำส่งสถานีตำรวจภูธรเมืองพิจิตรเพื่อดำเนินคดี ซึ่งต่อมาชุดสืบสวนกองกำกับการ ๔ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวน กองบังคับตรวจคนเข้าเมือง ๒ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ชุดศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและชุดสืบสวนกองกำกับการสืบสวน ๓ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค ๖ ได้ร่วมกันสืบสวนจนทราบว่ามีบุคคลชื่อ MR.NGOC เลขหนังสือเดินทาง C 817xxxx จะเดินทางโดยเครื่องบินจากประเทศเวียดนามมายังประเทศไทย ในวันที่ 2 ตุลาคม 2562 เวลา 13.30 น. ซึ่งหมายเลขหนังสือเดินทางดังกล่าวไม่ตรงกับเลขหนังสือเดินทางของผู้ต้องหาตามหมายจับ ผู้บังคับบัญชาสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้ต้องหาหมายจับหรือไม่ ชุดสืบสวนจึงได้เฝ้าสะกดรอยจนพบ MR.NGOC ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ จึงได้เชิญตัวไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับระบบ BIOMETRICS ผลยืนยันว่า MR.NGOC เลขหนังสือเดินทาง C 817xxxx เป็นบุคคลคนเดียวกับ MR.NGOC หมายเลขหนังสือเดินทาง C 663xxxx ผู้ต้องหาตามหมายจับข้างต้น จึงได้แสดงหมายจับให้ MR.NGOC ผู้ต้องหาทราบ โดยผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและได้ไปทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ภายหลังจากถูกออกหมายจับ จากนั้นชุดสืบสวนจึงจับกุมและนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของผู้ต้องหานั้น ผู้ต้องหาดังกล่าวได้ร่วมขบวนการกับผู้ต้องหาคนไทยและคนเวียดนามรวม ๗ คน ชักชวนผู้เสียหายซึ่งมีทั้งคนไทยและคนเวียดนามจำนวนหลายสิบคน ให้ร่วมลงทุนกับกลุ่มผู้ต้องหา โดยหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าสามารถนำเงินดิจิทัลสกุล onecoin มาใช้แทนเงินสดในการจับจ่ายซื้อสินค้าต่างๆ ที่ประเทศไทยได้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นทั้งในประเทศเวียดนามและประเทศอื่นๆ เงินดิจิทัลสกุล one coin ประสบปัญหาไม่เป็นที่ยอมรับ จึงไม่สามารถใช้ซื้อสิ้นค้าหรือแลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นๆ ได้ โดยกลุ่มผู้ต้องหาได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าหากมานำเงินสดมาลงทุนในเงินดิจิทัลสกุล one coin ที่ประเทศไทยจะสามารถนำมาใช้ซื้อทองคำ รถยนต์ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยมีข้อตกลงว่าการซื้อขายทองคำ 1 บาท ให้นำเงินสด ครึ่งหนึ่งและใช้เงินดิจิทัล onecoin ครึ่งหนึ่งตามมูลค่าทองคำในท้องตลาด หากทองคำราคาบาทละ 20,000 บาท ให้จ่ายเงินสด 10,000 บาทและเงินดิจิทัล onecoin ตามที่บริษัทกำหนดและจะได้รับดอกผลตอบแทนจากการร่วมลงทุนด้วย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้เดินทางมาพบผู้ต้องหาและนำเงินสดมาร่วมลงทุน ณ ที่บริษัทของกลุ่มผู้ต้องหา ที่จังหวัดพิจิตร ต่อมาภายหลังผู้เสียหายหลายคนพบว่าหลังจากที่หลงเชื่อร่วมลงทุนไปแล้ว ไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงหรือโฆษณากล่าวอ้างไว้ จึงทราบว่าถูกกลุ่มผู้ต้องหาหลอกลวง และได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองพิจิตร เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา
จึงขอแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยว่า เมื่อพบเห็นการโฆษณาชวนเชื่อชักชวนให้ร่วมลงทุนในธุรกิจสกุลเงินดิจิทัลและจะได้รับผลตอบแทนที่สูงภายในช่วงระยะเวลาสั้น ประชาชนควรระมัดระวัง ศึกษาข้อมูลและรายละเอียดให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะมีความเสี่ยงที่มูลค่าจะผันผวนหรือปรับลดค่าลงได้อย่างรวดเร็ว และอาจใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงและฉ้อโกงประชาชนได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่จะให้ผลตอบแทนสูง หากมีการหาสมาชิกเพิ่มได้มาก อีกทั้ง onecoin ไม่ใช่สกุลเงินที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไทย โดยสามารถติดตามข่าวสารและสอบถามรายละเอียดจากธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง@พ.ต.ต. ญ. พัชรี ศรีเผือก
# ธวัชชัยเฟื่องอนันต์รายงาน