มาเลย์ติดป้ายใช้กฏเหล็กดีเดย์1ธ.ค.ข้ามช่องทางธรรมชาติจับปรับหัวละกว่า7หมื่นบาทหรือจำคุก5ปี หลังนักร้องดังขวัญใจวัยรุ่น ถูกตำรวจโก-ลกจับพร้อมยาบ้ากว่า 6,000 เม็ด

มาเลย์ติดป้ายใช้กฏเหล็กดีเดย์1ธ.ค.ข้ามช่องทางธรรมชาติจับปรับหัวละกว่า7หมื่นบาทหรือจำคุก5ปี

หลังนักร้องดังขวัญใจวัยรุ่น ถูกตำรวจโก-ลกจับพร้อมยาบ้ากว่า 6,000 เม็ด

จากกรณีที่ พล.ต.ท.ดาโต๊ะ มูฮัมหมัดยูโซฟ บินมามะ ผู้บัญชาการตำรวจรัฐกลันตันประเทศมาเลเซีย ได้แถลงการณ์การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดสำหรับการเดินทางเข้าออก ระหว่างไทยกับมาเลเซียอย่างผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 18 พ.ย.67 ที่ผ่านมา ซึ่งจะเริ่มกวดขันจับกุมในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่จะถึงนี้ โดยได้ระบุว่าทางการมาเลเซียจะมีมาตรการตรวจสอบเส้นทางตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด ทั้งชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวมาเลเซียที่เดินทางเข้าไปประเทศไทย ที่ข้ามไปมาตามท่าเรือผิดกฎหมาย เมื่อข้ามไปแล้วกลับเข้ามาหากเจ้าหน้าที่ตรวจพบให้จับกุมทันที การเดินทางเข้าออกประเทศไทยกับมาเลเซีย ขอให้ใช้บอเดอร์พาสหรือพาสปอร์ตเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการนำสิ่งเสพติดหรืออาวุธต่างๆ กลับไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ ผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกจับกุมปรับเป็นเงินในวงเงินต่อรายคนละ 10,000 ริงกิต หรือเปรียบเงินไทย ประมาณ 77,607 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเรื่องดังกล่าวขยายผลมาจาก นางสาววันโนรซาฮีดาอัชลิน บินตี วันอิสมาอีล นักร้องดังมาเลเซียขวัญใจวัยรุ่น เจ้าของผลงานเพลงแบซอบาซอ หรือแปลเป็นไปยว่า ใจเย็นๆ ที่ถูกจับกุมพร้อมพวก6 คนและยาบ้า จำนวน 6,060 เม็ด ที่ห้องพักโรงแรมเก็นติ้ง อ.สุไหงโก-ลก เมื่อวันที่ 1 พ.ย.67 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ประเทศมาเลเซียเสียชื่อเสียง


จากการเดินทางเข้าไปตระเวนตรวจสอบที่เมืองรันตูปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ในช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยได้เดินทางข้ามฟากไปยังรัฐกลันตัน ด้วยเรือยนต์รับจ้างข้ามฟากท่าประปา ซึ่งเป็นท่าข้ามจุดผ่อนปรน เพื่อตระเวนตรวจสอบก่อนที่ทางการมาเลเซียจะบังคับใช้กฎหมาย พบว่า ที่บริเวณท่าข้ามฟากตรงกันข้ามกับจุดผ่อนปรนซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับท่าเรือข้ามฟากของไทย 7 ท่า เจ้าหน้าที่ทหารกองพลทหารราบกองทัพบก มาเลเซีย ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน ที่ถูกส่งตัวมาปฏิบัติหน้าที่ตามช่องทางข้ามตรงกันข้ามกับจุดผ่อนปรนไทย ได้นำป้ายประกาศของทางการประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นภาษายาวีและแปลเป็นภาษาไทย ไปติดตั้งไว้ที่บริเวณท่าข้ามทั้ง 7 ท่า ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับท่าเรือข้ามฟากของไทย มีใจความว่า บุคคลใดก็ตามที่เข้าออก จากชายแดนมาเลเซียประเทศไทย ผ่านประตูที่ไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา กระทำความผิดภายใต้มาตรา 5 (2) ขอพระราชบัญญัติคนเข้าเมือปี 1959/1963 อาจถูกจับกุมและอาจถูกปรับสูสุด RM 10,000.00 หรือ จำคุกสูงสุด 5 ปีหรือทั้ง 2 อย่าง

ด้าน น.ส.ซีตีอัยซะห์ ดือราซอ แม่ค้าร้านขายยำร้านขายน้ำริมแม่น้ำสุไหงโกลกตรงท่าประปา อยากจะขอให้ทางหน่วยงานหลักช่วยมาดูแลและเข้ามาพูดคุย เพื่อให้มาเปิดท่าให้เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะเปิดเป็นช่วงๆก็ได้ เพราะว่าส่วนใหญ่แม่ค้าจะอาศัยลูกค้าที่เป็นชาวมาเลเซีย ที่ช่วยกันอุดหนุนมาซื้อและมารับประทานแถวนี้


ด้าน น.ส.ซาวาตี หะมะ แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ชุมชนท่าประปา ตอนนี้ลูกเรียนหนังสืออยู่ที่มาเลเซีย 2 คน อยู่ ม.1 กับ ม.2 ซึ่งเรียนตั้งแต่เด็ก คือถ้าปิดด่านธรรมชาติก็กังวลหลายอย่างทั้งเรื่องการเดินทางของลูกที่จะไปมาลำบากและการขายของที่คนมาเลเซียจะเข้ามาไม่ได้ ปกติลูกค้าจะมีทั้งคนมาเลเซียและคนไทย โดยปกติแล้วจะขายได้ 3,000 ถ้วย ต่อวัน ซึ่ง ณ วันนี้ไม่ค่อยมีคนตั้งแต่มีการประกาศว่าจะปิด

รายงานข่าวจากแหล่งข่าวรายหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงประเทศมาเลเซีย เปิดเผยเป็นการส่วนตัวว่า การที่ทางการประเทศมาเลเซียออกมาตราการณ์เข้มงวดในครั้งนี้ มีด้วยกันหลายประเด็น ซึ่ง 1 ในนั้นคือ การป้องกันการลักลอบยาเสพเข้าประเทศมาเลเซีย และที่สำคัญและทางการประเทศมาเลเซียหาโอกาสออกมาตราการณ์มานานแล้ว คือ เป็นการป้องกันชาวมาเลเซียนำเม็ดเงินมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่ประเทศมาเลเซียต้องสูญเสียรายได้มหาศาลในแต่ละปี ซึ่งการออกมาตราการณ์ในครั้งนี้ ถือว่าทางการประเทศไทยโดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคง ที่ปฏิบัติหน้าที่แนวชายแดน ไม่ต้องทำงานหนักเพราะประเทศมาเลเซียออกมาตราการณ์ ไม่ต้องกวดขันการหลบหนีเข้าเมือง การระบาดของยาเสพติด รวมทั้งเป็นการปราบปรามน้ำมันเถื่อน ประการสำคัญสามารถสกัดกั้นกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุการร้ายฝั่งไทย แล้วหลบหนีไปกบดานประเทศมาเลเซีย

นราธิวาส/ข่าว-นูอารีซ๊ะ ยะยือริ