ชป.วาง2โครงการเร่งด่วน ปตร.ลำน้ำน่าน “น้ำปั้ว-ไหล่น่าน” และ “ฆะมัง”
หวังเป็นเครื่องมือบริหารจัดการน้ำ แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ลำน้ำน่านอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2567 สื่อมวลชนลงพื้นที่จังหวัดพิจิตร เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ภายใต้กิจกรรมสื่อสัญจร ครั้งที่ 2 ในโครงการศึกษาความเหมาะสมและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมประตูระบายน้ำแม่น้ำน่าน จังหวัดน่าน จังหวัดพิจิตร และจังหวัดนครสวรรค์ โดยเวลา 09.30 น. ได้ร่วมรับฟังสรุปผลการบริหารจัดการน้ำและแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ที่ห้องประชุมปัญญาโรจน์ โครงการชลประทานพิจิตร ต.ท่าหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร จากนายพรมงคล ชิดชอบ รองผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 2 , นายฉัตรชัย ทองปอนด์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพิจิตร , นายเอกฉัตร เอี่ยมตาล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานนครสวรรค์ ,นายพนมศักดิ์ ใช้สมบูรณ์ ผู้อำนวยการส่วนวางโครงการที่ 1 , นายธนบดี รักสัตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 3 โดยกรมชลฯเสนอ 2 โครงการเร่งด่วน ได้แก่ “ประตูระบายน้ำน้ำปั้ว-ไหล่น่าน” และ “ประตูระบายน้ำฆะมัง ” หวังเป็นเครื่องมือบริหารจัดการน้ำ แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ลำน้ำน่าน อย่างยั่งยืน โดยมีการสรุปผลการศึกษาความเหมาะสมและการประเมินผลกระทบต่อสิ่งเเวดล้อม ของทั้ง2โครงการเร่งด่วนดังกล่าว จากกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาโครงการ
นายพรมงคล ชิดชอบ รองผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 2 เปิดเผยว่า “ที่ผ่านมาได้มีการวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำมาโดยลำดับ โดยมีแหล่งเก็บกักน้ำที่สำคัญ อาทิเช่น เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ , เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จังหวัดพิษณุโลก , เขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ และเขื่อนทดน้ำนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ 10,430.25 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีแผนพัฒนาจัดหา แหล่งเก็บกักน้ำในระยะกลาง (ปี 2565-2575) เพิ่มเติมอีก เช่น อ่างเก็บน้ำน้ำปาด (ภูวังผา) อ่างเก็บน้ำน้ำกอน อ่างเก็บน้ำน้ำกิ และอ่างเก็บน้ำน้ำยาว เป็นต้น ซึ่งหากพัฒนาได้ทั้งหมดก็มีน้ำเก็บกักได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 799 ล้าน ลบ.ม. กรมชลประทาน จึงมีนโยบายที่จะหาแหล่งน้ำเพิ่มเติมอีกโดยการใช้ลำน้ำน่านเป็นแหล่งเก็บกักน้ำ จึงเป็นที่มาของโครงการที่กำลังดำเนินการศึกษา ฯ”
ซึ่งจากการศึกษาแผนหลักประตูระบายน้ำในแม่น้ำน่านทั้งพื้นที่ด้านเหนือและท้ายของเขื่อนสิริกิติ์ พบว่า มีทั้งหมด จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ (1) ปตร.ผาจา จังหวัดน่าน (2) ปตร.น้ำปั้ว-ไหล่น่าน จังหวัดน่าน (3) ปตร.ท้ายเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก (4) ปตร.โคกสลุด จังหวัดพิษณุโลก (5) ปตร.ฆะมัง จังหวัดพิจิตร (6) ปตร.บ้านห้วยคต จังหวัดพิจิตร และ (7) ปตร.วังหมาเน่า จังหวัดนครสวรรค์
ผลการคัดเลือกแผนงานโครงการอาคารบังคับน้ำที่ดำเนินการก่อสร้างในลำน้ำน่านและมีศักยภาพความจำเป็นในลำดับต้น ได้แก่ พื้นที่ด้านเหนือเขื่อนสิริกิติ์ คือ โครงการประตูระบายน้ำ น้ำปั้ว-ไหล่น่าน จังหวัดน่าน และ พื้นที่ด้านท้ายเขื่อนสิริกิติ์ พบว่า โครงการประตูระบายน้ำฆะมัง จังหวัดพิจิตร จึงได้นำโครงการดังกล่าวไปดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและศึกษาประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
สำหรับโครงการประตูระบายน้ำ น้ำปั้ว-ไหล่น่าน มีที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลน้ำปั้ว และตำบลไหล่น่าน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เป็นการก่อสร้างประตูระบายน้ำกั้นลำน้ำน่าน มีลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กควบคุมระดับน้ำโดยบานประตูเหล็กโค้ง ผสมฝายสันมนชนิดคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดบานประตูความกว้างช่องละ 12.50 ม. สูง 9 ม. จำนวน 6 ช่อง ฝายน้ำล้นชนิดฝายสันมนคอนกรีตเสริมเหล็กกว้างช่องละ 15 ม. สูง 9 ม. จำนวน 2 ช่อง อัตราการระบายน้ำสูงสุด 3,000 ลบ.ม. /วินาที มีระดับกักเก็บ +184 เมตร (รทก.) สามารถกักเก็บน้ำได้ 3.55 ล้าน ลบ.ม. โดยระยะกักเก็บน้ำในลำน้ำน่าน 18 กม. นอกจากนั้นยังมีทางผ่านปลาชนิด Pool Type Vertical Slot ความกว้าง 3 เมตร ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของประตูระบายน้ำ พร้อมประตูเรือสัญจรแบบแห้งชนิดเครนยกข้าม โดยมีพื้นที่รับประโยชน์จากโครงการ 22,000 ไร่ ครอบคลุม ครอบคลุม 6 ตำบล ได้แก่ 1) ต.กองควาย อ.เมืองน่าน 2) ต.น้ำปั้ว 3) ต.ตาลชุม 4) ต.กลางเวียง 5) ต.ปงสนุก และ 6) ต.นาเหลือง อ.เวียงสา จ.น่าน
ส่วนโครงการประตูระบายน้ำฆะมัง มีที่ตั้งอยู่ในเขตหมู่ที่ 4 บ้านบางเพียร ตำบลฆะมัง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร เป็นการก่อสร้างประตูระบายน้ำกั้นลำน้ำน่าน มีลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กควบคุมระดับน้ำโดยบานประตูระบายเหล็กโค้ง มีขนาดบานประตูความกว้างช่องละ 12.50 ม. สูง 10 ม. จำนวน 7 ช่อง อัตราการระบายน้ำสูงสุด 3,500 ลบ.ม. /วินาที มีระดับกักเก็บ +32.5 เมตร (รทก.) สามารถกักเก็บน้ำได้ 24.77 ล้าน ลบ.ม. โดยระยะกักเก็บน้ำในลำน้ำน่าน 44.5 กม. นอกจากนั้นยังมีทางผ่านปลาชนิด Pool Type Vertical Slot ความกว้าง 3 เมตร ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของประตูระบายน้ำ พร้อมประตูเรือสัญจรแบบแห้งชนิดเครนยกข้าม โดยมีพื้นที่รับประโยชน์จากโครงการ 37,000 ไร่ ครอบคลุม 10 ตำบล 2 อำเภอ 2 จังหวัด ประกอบด้วย ตำบลฆะมัง ตำบลบ้านบุ่ง ตำบลท่าหลวง ตำบลป่ามะคาบ ตำบลปากทาง ตำบลท่าฬ่อ ตำบลไผ่ขวาง และตำบลย่านยาว อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร และตำบลโคกสลุด ,ตำบลสนามคลี อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก
จากนั้น ได้เดินทางไปยัง ที่ตั้งหัวงานโครงการประตูระบายน้ำฆะมัง ม.4 บ.บางเพียร อ.เมืองพิจิตร พร้อมรับฟังสภาพปัญหาความต้องการแหล่งน้ำในพื้นที่ตำบลฆะมัง โดย นายก อบต. ฆะมัง กำนันตำบลมะมัง ผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มองค์กรผู้ใช้น้ำในพื้นที่ตำบลฆะมัง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร และพูดคุยกับกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่รับประโยชน์จากโครงการฯ ตามลำดับ
ด้านนายเดวิด ปินใจ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลฆะมัง กล่าวถึงสภาพปัญหาภัยแล้งในลำน้ำน่านว่า ช่วงแล้งน้ำในลำน้ำจะแห้ง บางปีแทบจะเดินข้ามแม่น้ำได้ โดยเกษตรกรได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ช่วงแล้งบางปีเกิดปัญหาแย่งน้ำใช้กัน หากมีอาคารบังคับน้ำที่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ก็จะช่วยเหลือเกษตรกรได้มาก โดยเฉพาะน้ำประปาที่จะทำให้ชาวบ้านมีน้ำกินน้ำใช้ตลอดปี ซึ่งทาง อบต.ฆะมัง กำนันผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนชาวบ้านทุกคน ต่างดีใจและมีความหวัง รวมทั้งยินดีให้ความร่วมมือกับกรมชลประทาน และพร้อมซัพพอร์ตทุกเรื่องที่สามารถจะช่วยหรือสนับสนุนให้โครงการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ส่วนนายประเสริฐ ศรีปัญญา ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำ สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าชลประทาน ฝายสามง่าม จ.พิจิตร ( กลุ่มผู้ใช้น้ำฝั่งซ้าย) กล่าวว่า ถ้ามีโครงการ จะช่วยเกษตรกรที่อยู่บริเวณริมฝั่งลำน้ำน่าน ทั้งในจังหวัดพิจิตรและพื้นที่ใกล้เคียงได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเกษตรกรที่ทำนา ทำไร่ ทำสวนผลไม้ จะมีน้ำใช้ทำการเกษตรได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ตลอดจนมีน้ำประปาสำหรับอุปโภคบริโภคด้วย
ทั้งนี้ เมื่อกรมชลประทานดำเนินการตามแผนงานแล้วเสร็จ จะทำให้ลำน้ำน่านสามารถกักเก็บน้ำได้เพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 150.48 ล้าน ลบ.ม. และส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรของสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าเดิม 135,987 ไร่ เพิ่มพื้นที่ชลประทานใหม่ 27,027 ไร่ รวมพื้นที่ชลประทาน 163,014 ไร่ ถือเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับอุปโภค-บริโภค การประมง และการปศุสัตว์ รวมไปถึงเกษตรกรรมอย่างเพียงพอ ตลอดจนช่วยบรรเทาอุทกภัยในช่วงฤดูน้ำหลากให้พื้นที่อีกด้วย อีกทั้งสนับสนุนประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น การท่องเที่ยวและกิจกรรมการใช้น้ำอื่นๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต