“ร้อยเอก ธรรมนัส” เป็นประธานในพิธีส่งมอบ-รับมอบ และนำตู้สินค้าประเภทซากสุกรของตกค้างและของกลาง
ในคดีพิเศษที่ 59/2566 ไปทำลาย และ KICK OFF เผาทำลายซากสุกรของกลาง ย้ำ ประกาศสงครามกับสินค้าเกษตรเถื่อน!!
วันศุกร์ ที่ 29 กันยายน 2566 รมว. เกษตรเป็นประธานพิธีส่งมอบ-รับมอบ และนำตู้สินค้าประเภทซากสุกรของตกค้างและของกลาง ในคดีพิเศษที่ 59/2566 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อนำไปทำลายและ พิธี KICK OFF เผาทำลายซากสุกรของกลาง ณ สำนักชลประทานที่ 9 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ย้ำชัด กำชับให้เจ้าหน้าที่ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เร่งดำเนินการปราบปรามการลักลอบนำเข้า ส่งออกสินค้าการเกษตรอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องพี่น้องเกษตรกรให้มีความมั่นใจในอาชีพ พร้อมที่จะเพิ่มผลผลิตด้านการเกษตร เติมเต็มความมั่นคงทางอาหาร สร้างประโยชน์เพื่อคนไทยและประเทศชาติ
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีส่งมอบ-รับมอบ และนำตู้สินค้าประเภทซากสุกรของตกค้างและของกลาง ในคดีพิเศษที่ 59/2566 ณ ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อนำไปทำลายตามมาตรฐานสากล โดยระบุว่า ได้มอบนโยบายให้กรมปศุสัตว์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติงานบังคับใช้กฎหมายในการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรเนื่องจากการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกร ทำลายกลไกราคาภายในประเทศ ทั้งยังเป็นการนำเข้าพาหะของโรคระบาดสัตว์ จะสร้างความเสียหายต่อระบบการเลี้ยงสุกรของประเทศไทยอย่างมหาศาล ซึ่งการปราบปรามการลักลอบนำเข้า ยังเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคเนื่องจากเนื้อสุกรที่ลักลอบนำเข้าโดยไม่ผ่านการตรวจสอบอาจมีเชื้อโรคและสารตกค้างที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
“การจับเนื้อเถื่อน เป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งการดำเนินการในวันนี้ เกิดจากความร่วมมือทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงาน ทั้งเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ตำรวจ กรมศุลกากร เป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง การทุจริตคอร์รัปชั่น การลักลอบนำเข้าทั้งเนื้อไก่ ขาไก่ เนื้อสุกร เนื้อโค เนื้อกระบือ เป็นการบ่อนทำลายเสถียรภาพด้านราคา มาตรฐาน คุณภาพ สุขภาพร่างกายของผู้บริโภค หากตรวจพบให้จับอย่างเดียวและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ต้องมาเคลียร์ จะไม่ยอมให้มีการกระทำผิดเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวย้ำ
ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ กรมปศุสัตว์ดำเนินการปราบปรามการลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์และสัตว์มีชีวิตอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ ขอให้ผู้บริโภคเลือกบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพและขอให้พี่น้องเกษตรกรมั่นใจได้ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะปกป้องอาชีพของเกษตรกรและคุ้มครองสุขภาพของผู้บริโภคอย่างเต็มที่
นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ในการรับมอบของกลางซากสุกรแช่แข็งลักลอบนำเข้าจากกรมศุลกากรในวันนี้ กรมปศุสัตว์ได้เตรียมความพร้อมสถานที่สำหรับการฝังทำลาย ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์สระแก้ว ต.คลองไก่เถื่อน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่า หากสภาพอากาศมีความเหมาะสม จะดำเนินการฝังทำลายซากสุกรของตกค้างและของกลาง ในคดีพิเศษที่ 59/2566 ให้ครบต่อไป
การจัดพิธี KICK OFF เผาทำลายซากสุกรของกลางในวันนี้ กรมปศุสัตว์ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขององค์การสุขภาพสัตว์โลก (World Organization for Animal Health หรือ WOAH) ซึ่งการเผาเป็นวิธีที่เหมาะสมในการทำลายซากและของเสียจากสัตว์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการนำซากสุกรของกลางจำนวน 10 ตู้ โดยแบ่ง 2 ตู้แรกเข้าเตาเผาทำลายซากระบบปิดแบบไร้ควัน ซึ่งสามารถเผาได้ชั่วโมงละ 1-2 ตัน ขึ้นกับสภาพของซากสัตว์ ปริมาณน้ำและไขมันที่มีภายในซากสัตว์และอุณหภูมิของซากสัตว์ก่อนเข้าเตาเผา และจะใช้ระยะเวลาในการเผาต่อ 1 ตู้ ประมาณ 12 ชั่วโมง โดยอุณหภูมิที่เกิดขึ้นภายในเตาเผาสูงสุดอยู่ที่ 1,200 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิที่สูงเช่นนี้จะสามารถทำลายเชื้อโรคระบาดสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ได้ทั้งหมด อีกทั้งรูปแบบการทำงานของเตาเผาทำลายซากแบบไร้ควันจะมี 2 chamber คือ 1. Chamber สำหรับเผาตัวซาก และ 2. Chamber สำหรับดูดควันเพื่อคัดกรองควันที่เกิดจากการเผาไหม้ ทำให้มั่นใจได้ว่าภายหลังการทำงานจะไม่มีการปล่อยมลภาวะ ทั้งกลิ่น ควัน สู่สิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด และช่วยประหยัดเชื้อเพลิงที่ใช้ในเตาเผาได้โดยวิธีการนำเศษไม้ใส่ไประหว่างการเผา ซึ่งเศษไม้จะช่วยเร่งความร้อนให้อุณหภูมิถึงระดับที่เครื่องทำงานและรักษาระดับอุณหภูมิไว้ได้
อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ตลอดปี 2565 ถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ได้ร่วมกับตำรวจ ทหาร ศุลกากร เข้าตรวจสอบผู้ประกอบการสินค้าประเภทซากสุกรรวมจำนวนทั้งสิ้น 238 ครั้ง สามารถจับกุมเนื้อสุกร ซึ่งมีแหล่งผลิตต้นทางจากประเทศบราซิล อิตาลี เยอรมนี ลักลอบนำเข้า ปริมาณน้ำหนักรวม 1,142,487 กิโลกรัม, คิดเป็นมูลค่ากว่า 190 ล้านบาท
ที่มา/ข่าว : กองสารวัตรและกักกัน กรมปศุสัตว์