NRF ประกาศแผนกลยุทธ์ 2566 รุกหน้า
“แพลตฟอร์มเพื่อผู้ส่งออกไทย เน้นมอบประสบการณ์ส่งออกระดับโลก” มุ่งเป้าลูกค้าต้องที่หนึ่ง
บมจ. เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลกและการผลิตอาหารเพื่ออนาคต ประกาศแผนกลยุทธ์ปี 2566 “NRF Next Step in the World of Asian Food Consumerism” ยกระดับธุรกิจ มุ่งเป้าลูกค้าที่หนึ่ง รุกตลาดครั้งใหญ่ภายใต้แนวคิด ธุรกิจอาหารเปลี่ยนโลกอย่างยั่งยืน และสร้างพลังสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยีอาหาร เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2573
NRF เป็นผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร รวมถึงอาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช และเครื่องดื่มชนิดผงและน้ำ ปัจจุบันส่งออกไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งบริษัทฯ ยังเป็นผู้ผลิตอาหารได้รับการรับรอง Carbon Neutral รายแรกของประเทศไทย แดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF กล่าวว่า หัวใจสำคัญของเราคือ Food for Generations วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ผลิตอย่างมีมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อทุกเจเนอเรชั่น ซึ่งในปีนี้เราจะขับเคลื่อนธุรกิจของ NRF เพื่อการต่อยอดธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ D2C (Direct-to-consumer) เพราะเราเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตของผู้บริโภคในโซนยุโรป โดยมูลค่าการบริโภคร้านอาหารเอเชียอยู่ที่ 7,100,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ และตลาดอาหาร ชาติพันธุ์ (Ethnic Food Market) มีมูลค่าอยู่ที่ 2,990,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ผู้บริโภคกลุ่ม อาหารชาติพันธุ์กว่า 90% เลือกที่จะบริโภคอาหารกลุ่มนี้ที่บ้าน
1. ธุรกิจ eCommerce ต่อยอดสู่ Omni Channels
การเสริมแกร่งทางด้านธุรกิจ eCommerce เพื่อต่อยอดสู่ Omni-channels food retailing ครั้งแรกในไทย พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อการส่
งออกครอบคลุมทั้งออนไลน์ที่เป็
นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และต่อยอดสู่ Omni-Channels ที่เป็นร้านจำหน่ายสินค้าเอเชีย (Asian Grocery Store) เพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุ
มในการเข้าถึงกลุ่มเป้
าหมายโดยตรงและกว้างขวาง ดันยอดขายให้แก่ผลิตภัณฑ์ของ NRF ทั้งยังเสริมศักยภาพการแข่งขั
นให้แก่สินค้าเอเชียในตลาดยุโรป ทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสให้แก่
ผู้ส่งออกไทยทั้งรายใหญ่
และรายย่อย ที่สามารถส่งออกสู่ตลาดยุ
โรปโดยผ่านคนกลาง เราตั้งเป้าหมายลูกค้าต้องเป็
นที่หนึ่ง ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ทันสมั
ย ยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภค ทำให้จุดมุ่งหมายในปีนี้
ของเราเป็นเสมือนจิ๊กซอว์สำคั
ญในการพัฒนาและขยายธุรกิจของ NRF โดยกลยุทธ์นี้จะเชื่อมต่อให้ผู้
บริโภคได้รับประสบการณ์ใหม่ นั่นคือการพัฒนาแพลตฟอร์
มออนไลน์ ที่จะทำให้ผู้บริโภค เข้าถึงสินค้าและผลิตภัณฑ์
ของเอเชียได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งการนำเทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทในธุรกิจ”
“ในปี 2566 เราตั้งเป้ารายได้ราว 3-4 พันล้านบาท โดยแผนการขยายธุรกิจของ NRF เราเล็งเห็นถึงโอกาสในการ พัฒนาในช่องทาง eCommerce และต่อยอดสู่ Omni-Channel โดยการเปิดร้านจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์จากเอเชีย (Asian Grocery Store) และมีแผนจะนำเทคโนโลยี AI เข้ามาเสริมทัพธุรกิจ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ซึ่ง flagship store สาขานำร่องจะเริ่มในประเทศอังกฤษจำนวน 4 สาขาในปีนี้ และคาดว่าจะมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความคืบหน้า ณ ขณะนี้ ทางบริษัทฯ กำลังเจรจา LOI (Letter of intent) กับร้านค้าอยู่ 2 แห่ง ที่มียอดขายรวมอยู่ที่ 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” แดน ปฐมวาณิชย์ กล่าวเสริม
ปัจจุบัน NRF เห็นถึงปัญหาการส่งออกในประเทศ ที่ยังคงมีปัญหาจากการขาดแพลตฟอร์มเพื่อช่วยอุตสาหกรรม ส่งออก เราจึงเล็งเห็นโอกาสที่จะพัฒนาและนำ Big Data มาต่อยอดแผนการตลาด นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่บริษัทฯ จะสามารถพลิกให้เป็นโอกาสในการช่วยผู้ส่งออกและเกษตรกรไทย เราจึงพัฒนาช่องทางออนไลน์ผ่าน eCommerce ต่อยอดสู่ Omni-Channels อย่างครอบคลุมโดยการสร้าง และการเปิดร้านค้า เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอเชีย โดยที่เราเชื่อมั่นว่าภาคอุตสาหกรรมจะร่วมเป็นทางออก
สำหรับมูลค่าการส่งออกของสินค้าเกษตรและสินค้าอาหารของไทยในปี 2565 มีมูลค่าอยู่ที่ 1,553,822 ล้านบาท และในปี 2566 ตลาดส่งออกมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าราว 10,281,109,608 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 2% นับเป็นโอกาสในการรุกตลาดส่งออกยิ่งขึ้นเพื่อดันรายได้ให้แก่ธุรกิจหลักของ NRF
2.1) ดันซอสศรีราชาเป็น Product champion การขยายฐานการผลิตโรงงานซอสพริกศรีราชาในสหรัฐ อเมริกา เพื่อเป็น local product ที่มีคุณภาพ ได้สัมผัสรสชาติซอสพริกสูตรดั้งเดิมที่แท้จริง สอดรับกับตลาดซอสพริกที่สหรัฐอเมริกาซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 101,200 ล้านบาท เติบโตกว่า 33% เมื่อเทียบกับปีก่อน และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขยายธุรกิจและผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตซอสระดับสากล และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ NRF
2.2) ชูผลิตภัณฑ์ Pet Food ส่งออก 5 ประเทศชั้นนำ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย อินเดีย และ กลุ่มตะวันออกกลาง อีกทั้งยังมีแผนที่จะผลักดันผลิตภัณฑ์เข้าสู่ Modern Trade อีกหลายประเทศ สอดรับกับตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงโปรตีนทางเลือกที่มีส่วนแบ่งการตลาด 23.4% เมื่อเทียบกับ ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงสูตรทั่วไป และในอนาคตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงทางเลือกจะมีอัตราความต้องการที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. ธุรกิจ Climate Action – การขับเคลื่อนบริษัทสู่เป้าหมาย Net Zero
ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารที่มีวิสัยทัศน์ในการใช้อาหารต่อสู้กับโลกร้อน Food Fighting Climate Change ที่ต้องการเปลี่ยนโลกให้ยั่งยืนด้วยธุรกิจ Decarbonization ได้เข้าลงทุนใน frontline technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนขั้นสูงได้รับรางวัล X Prize Award มีเป้าหมายมาจากการความต้องการที่จะแก้ปัญหา และลดผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนจากอุตสาหกรรมอาหาร โดยเทคโนโลยีขั้นสูงขนาดย่อมนี้ เรามีแผนตั้งจังหวัดลำพูน นับเป็นต้นน้ำที่สำคัญของบริษัท ซึ่งผลิตภัณฑ์ Bio Carbon มีส่วนช่วยในการพัฒนาดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ส่งเสริมให้การเพาะปลูกมีประสิทธิภาพ และสามารถดักจับคาร์บอนในกระบวนการเกษตร อีกทั้งเรายังมีเป้าหมายเพื่อลดการเผาของเกษตรกร และเล็งเห็นโอกาสให้แก่บริษัทอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตอีกด้วย
หลังจากพัฒนาและขยายธุรกิจกว่า 6 ปี วันนี้ NRF ได้สร้างบริษัทฯ ที่แข็งแกร่งและเติบโตมาโดยตลอด ด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปรุงอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร นับเป็นจุดแข็งนำรสชาติคู่ครัวไทยส่งออกไปยังครัวโลก และประสบการณ์ด้านอีคอมเมิร์ซทั้งในและนอกประเทศ ในปีนี้ เรามีเป้าหมายสำคัญที่จะรุกตลาดส่งออกมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมแกร่งให้แก่บริษัท และเรามุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มที่จะสามารถสร้างโอกาส และเป็นทางออกให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกของไทยให้มีประสิทธิภาพ และสร้างประสิทธิผลสูงสุดให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศ
ซึ่ง NRF ยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ และพร้อมที่จะผลักดันคู่ค้า พันธมิตร และบริษัทในเครือ ให้ร่วมพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้วิสัยทัศน์ “ใช้อาหารต่อสู้กับโลกร้อน” พร้อมทั้งการพัฒนาและต่อยอดอาหารที่ดี เพื่อทุกคน ทุกเจเนอเรชั่น เพื่อเป็นผู้นำอุตสาหกรรม ผลิตอาหารชั้นนำบนพื้นฐานด้าน ESG พร้อมขับเคลื่อนบริษัทไปสู่เป้าหมาย Net Zero Emission ภายในปี 2573 เพื่อเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ