สรพ.ร่วมกับ บี. บราวน์ และ GIZ ส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ให้โรงพยาบาล รับมือสถานการณ์โควิด-19
คณะจากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) บริษัทบี. บราวน์ (ประเทศไทย) จำกัด และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ในนามโครงการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคและส่งเสริมการทำความสะอาดมือ ได้เข้าพบนายแพทย์ธเนศ ดุสิตสุนทรกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อส่งมอบเจลแอลกอฮอล์จำนวน 4,200 ขวด ณ โรงพยาบาลเสนา เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถนำเจลแอลกอฮอล์ไปใช้รับมือต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
“ในช่วงการระบาดของเชื้อโควิด-19 ครั้งใหญ่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แทบทุกโรงพยาบาลต่างก็มีภาระงานในการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 กันมากขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาลในพื้นที่สีแดง บุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยงสูงมากที่จะติดเชื้อโควิด-19 นับเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่ทางรัฐบาลเยอรมนีได้อนุมัติโครงการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคและส่งเสริมการทำความสะอาดมือนี้ ซึ่งเป็นโอกาสให้สรพ.ได้ร่วมมือกับ GIZ และบริษัทบี. บราวน์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ให้แก่โรงพยาบาล 62 แห่งในพื้นที่ระบาดสีแดงตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ทำให้โรงพยาบาลเหล่านั้นมีเจลแอลกอฮอล์เพียงพอต่อการใช้งาน ส่งผลให้บุคลากรในโรงพยาบาลตลอดจนผู้ป่วยได้ทำความสะอาดมืออย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้เรากำลังเร่งพัฒนาสื่อการเรียนรู้และการอบรมออนไลน์ให้เสร็จและเผยแพร่ภายในเดือนพฤศจิกายน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการทำความสะอาดมือและป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ด้วย” นายแพทย์กิตตินันท์ อนรรฆมณี ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) กล่าว
นางเพชรฎา อุษณพงศ์ รองผู้อำนวยการ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประเทศไทยและมาเลเซีย กล่าวเสริมว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่ากิจกรรมของโครงการนั้นช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยได้มีเจลแอลกอฮอล์ใช้อย่างทั่วถึงในช่วงของการระบาด ซึ่งการล้างมือบ่อยๆ นั้นเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ได้ นอกจากนี้โครงการฯ ยังได้สนับสนุนกลุ่มเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่โครงการด้านการเกษตรและอาหารของ GIZ ให้เข้าถึงเจลล้างมือแอลกอฮอล์ที่มีคุณภาพและข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตนจากเชื้อโควิด-19 อีกด้วย ขณะนี้ โครงการฯ ได้ส่งมอบเจลแอลกอฮอล์จำนวนทั้งสิ้น 157,536 ขวด ให้แก่โรงพยาบาล 62 แห่งในพื้นที่ระบาดสีแดงทั่วประเทศไทย และจะทำการส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ 90,000 ขวด ให้แก่เกษตรกรจำนวน 15,000 ครอบครัวในจังหวัดร้อยเอ็ด อุบลราชธานี สุรินทร์ สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง และอยุธยา ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้”
มร.สายัณห์ รอย กรรมการผู้จัดการ บริษัทบี. บราวน์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การระบาดที่ยังคงดำเนินอยู่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ทำให้เกิดการขาดแคลนแอลกอฮอล์ที่มีมาตรฐานสำหรับใช้ล้างมือเพื่อที่จะต่อสู้กับเชื้อโควิด-19 บริษัทบี. บราวน์เข้าใจดีว่าในช่วงการระบาดนั้นยากที่จะหาวัตถุดิบในการผลิตแอลกอฮอล์ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน บริษัทบี. บราวน์ ไม่เพียงแต่เพิ่มอัตราการผลิตเพื่อให้มีแอลกอฮอล์เพียงพอต่อความต้องการ แต่ยังทำให้แน่ใจว่าการทำความสะอาดมือนั้นมีประสิทธิภาพและเหมาะสมต่อสถานการณ์โควิดด้วย ซึ่ง SOFTA-GEL ที่บริจาคให้แก่โรงพยาบาลในโครงการนี้ ได้ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน EN 14476 ซึ่งเป็นมาตรฐานการทดสอบประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม ซึ่งรวมถึงไวรัสโคโรนา และเป็นเจลล้างมือเกรดการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง ต่างจากเจลแอลกอฮอล์ที่วางขายในตลาดทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกรดเครื่องสำอาง อีกทั้งยังมีส่วนผสมที่ทำให้มือไม่แห้งกร้านและไม่เหนียวเหนอะหนะ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกอยากล้างมือได้บ่อยเท่าที่ต้องการ เราจึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับทั้ง GIZ และ สรพ.และ GIZ ในโครงการซึ่งช่วยสนับสนุนการรับมือต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นี้”
นายศุภสัณฑ์ สุทธิพัฒนางกูล เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเสนา กล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการฯ ว่า “ก่อนที่จะเกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 นั้น โรงพยาบาลเสนาซึ่งเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดกลางสามารถผลิตแอลกอฮอล์ไว้ใช้เองได้ แต่เมื่อเกิดการระบาดของเชื้อโควิด-19 วัตถุดิบในการผลิตแอลกอฮอล์ขาดตลาดและมีราคาแพง ทำให้ขาดแคลนแอลกอฮอล์สำหรับใช้ล้างมือ เมื่อได้รับการสนับสนุนจากโครงการฯ จึงช่วยแก้สถานการณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนสิงหาคมที่อำเภอเสนาเกิดคลัสเตอร์ในโรงงาน ทำให้ต้องเปิดหอผู้ป่วยรวมแยกโรค (Cohort Ward) 5 แห่ง และมีความต้องการเจลแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างมาก ปัจจุบันโรงพยาบาลสามารถนำแอลกอฮอล์ที่ได้รับบริจาคไปใช้ตามจุดบริการต่าง ๆ ของโรงพยาบาลอย่างทั่วถึง รวมทั้งใช้ในงานบริการฉีดวัคซีนทั้งในโรงพยาบาลและการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเปราะบางในชุมชน และแจกจ่ายให้ใช้ในศูนย์แยกโรคชุมชน (Community Isolation) อีก 3 แห่งด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย”