ร้อยเอ็ด ประชุมคณะที่ปรึกษาประจำสมาชิกวุฒิสภา 120 เครือข่ายการเมืองวิถีใหม่จังหวัดร้อยเอ็ด

ร้อยเอ็ด ประชุมคณะที่ปรึกษาประจำสมาชิกวุฒิสภา 120 เครือข่ายการเมืองวิถีใหม่จังหวัดร้อยเอ็ด

 

นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะอนุกรรมาธิการ การมีส่วนร่วมของประชาชนวุฒิสภา เผยได้ติดตามการรายงานของรัฐบาลทางรัฐสภาทุก 3 เดือนพบว่าการปฏิรูปไม่เคลื่อนไหว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ได้ผลน้อยมาก จะต้องเคลื่อนการปฏิรูปโดยประชาชน และเป็นรูปธรรมเราเรียกว่าเป็นเครือข่ายการเมืองวิถีใหม่ ซึ่งไม่ใช่พรรคการเมืองแต่เป็นเครือข่าย ส่วนการปิดสวิท สว. ปิดหรือไม่ปิดอยู่ที่หากไม่สามารถรวมเสียงข้างมากในส.สได้ การบริหารประเทศไม่ได้ ผ่านงบประมาณก็ผ่านไม่ได้ ในระบบมีระบบถ่วงดุลกันอยู่แล้ว

วันที่ 27 มิถุนายน 2564 เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมธวัชบุรี โรงแรมวันโอวัน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะอนุกรรมาธิการ การมีส่วนร่วมของประชาชนวุฒิสภา ให้เกียรติเป็นประธาน ประชุมคณะที่ปรึกษาประจำสมาชิกวุฒิสภา 120 เครือข่ายการเมืองวิถีใหม่จังหวัดร้อยเอ็ด ครั้งที่ 1 มี ดร.สุวิทย์ วิชัด หัวหน้าคณะทำงานจังหวัดร้อยเอ็ด นำคณะทำงานจังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดสุรินทร์ จังวัดมหาสารคาม จังหวัดสกลนคร จังหวัดนครพนม และสื่อมวลชน ให้การต้อนรับ โดยนายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป เปิดการประชุม และมอบแนวนโยบายการทำงาน สลับการชมการแสดงมอลำนักศึกษาจากมาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยวิทยาเขตร้อยเอ็ด บรรเลงแคนโดย อาจารย์ทรงวุฒิ พรกุณา คณะทำงานจังหวัดร้อยเอ็ด เสร็จแล้วมีการประชุมแลกเปลี่ยน ปรึกษารือแนวทางการทำงานและจัดทำแผนงานในระดับจังหวัดและปิดการประชุมในเวลา 15.00น. แล้วเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร


นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะอนุกรรมาธิการ การมีส่วนร่วมของประชาชนวุฒิสภา กล่าวว่า เรื่องของการขับเคลื่อนการเมืองวิถีใหม่เป็นงานเป็นภาระกิจของกรรมาธิการพัฒนาการเมืองการมีส่วนร่วมของประชาชนของวุฒิสภาตนเป็นสมาชิกวุฒิสภาและดูแลเรื่องนี้โดยตรง ตนคิดว่ามันถึงเวลาที่เราจะต้องเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไทยซึ่งมี 12 ด้านแต่ด้านการเมืองสำคัญที่สุดแต่เราติดตามการรายงานของรัฐบาลทางรัฐสภาทุก 3 เดือนพบว่าไม่เคลื่อนไหวเลยไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้ผลน้อยมาก ดังนั้นเราคิดว่าเราจะต้องเคลื่อนการปฏิรูปโดยประชาชน และเป็นรูปธรรมเราเรียกว่าเป็นเครือข่ายการเมืองวิถีใหม่ ทางหนึ่งวิถีใหม่ไม่ใช่พรรคการเมืองแต่เป็นเครือข่าย ขณะนี้การเมืองวิถีใหม่ที่เราถักทอกันจังหวัดต่างๆทั้ง 71 จังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานครมีพรรคการเมืองที่อยู่ในรัฐสภาทั้งเล็กและใหญ่เข้าร่วมเป็นเครือข่ายของเรา 10 พรรคแล้ว ดังนั้นงานของเราจึงเป็นงานที่ก้าวข้ามพรรคการเมืองหมดเลย แต่ว่าถ้าพรรคพรรคใหนไปตรงไหน ส.ส.คนไหน สว.คนใหนเห็นเรื่องของคุณค่าของการเมืองวิถีใหม่ แล้วจะต้องสร้างการเมือฃวิถีใหม่เข้าไปแทนวิถีเก่าให้ได้ ความจริงแล้วการเมืองวิถีใหม่ไม่ได้คิดคำนี้ขึ้นมาเองมันเกิดจากไอ้โควิดแล้วทำให้เกิดทางโชเชียลฯหรือสังคมวิถีใหม่ เราก็เลยปิ้งไอเดียว่าการเมืองก็ต้องวิถีใหม่ ราชการทุกหน่วยต้องเป็นวิถีใหม่ ท้องถิ่นก็ควรจะเป็นวิถีใหม่ เราก็รวบรวมว่าเป็นวิถีใหม่ และขณะนี้เครือข่ายของเราก็พร้อม 71 จังหวัด กำลังลุกขึ้นปฏิบัติการในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ได้ ถ้าเราไม่ทำบ้านเมืองลูกหลานจะอยู่อย่างไร ตนแม้อายุมากแล้วต่อไปต้องมีคลื่นลูกใหม่ขึ้นมาแทน งานนี้ไม่ใช่จะสำเร็จภายในปีสองปี ดังนั้นตัวผมเองก็ต้องเปลี่ยนตัวเอง 10 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนได้แค่ไหน เราเชื่อว่าจะเปลี่ยนได้จะมากน้อยแค่ไหนมันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยในแต่ช่วงเผลอๆดีไม่ดีมันจะเกิดพรึบขึ้นมาเลยก็ได้ จะเป็นเรื่องของชาวบ้านหรือประชาชนหรือชุมชนท้องถิ่นจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนการเมืองของประเทศให้ได้ เหมือนกับลุงโบ้ย้ายภูเขาภูเขาขวางหน้าขวางทางน้ำน้ำดื่ม ลุงโบ้ก็พยายามชวนคนโนนคนนี้มาขุดภูเขาลุงโบ้ก็คว้าจอบคว้าเสียมไปขุดคนเดียวนานวันเข้าเกิดประชาชนเริ่มเห็นใจ และเมื่อเห็นใจช่วยกันคนละไม้ละมือในที่สุดภูเขาก็หลีกทางได้ น้ำก็สามารถข้ามภูเขามาได้ก็สามารถแก้ภัยแล้งได้ เรื่องนี้เป็นนิยายของจีนเขาพูดกันมากในสมัยการปฏิวัติจีน ซึ่งเหมาเจ๋อตุงนำมาใช้เพราะเทวราชในที่นี้คือประชาชน งานที่เราทำก็เช่นกันก็จะประสบผลสำเร็จได้

นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ถามว่าการเมืองวิถีใหม่รวมไปถึงการปิดสวิทสว.หรือไม่ว่า ปิดสวิทสว.ปิดหรือไม่ปิดก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะความต้องการในระบบสภาต้องมีสองอย่างอยู่ มีสส. กับ สว. แต่ว่าสส.จะมาอย่างไรจากระบบเลือกตั้งอย่างไร สว.จะมาอย่างไรใช้ระบบเลือกตั้งอย่างไร สำคัญอยู่ที่เราได้คนแบบไหนมา เพราะฉะนั้นระบบการเลือกตั้งแบบไหนก็ตามแต่เราต้องการคน คนที่มีคุณภาพ “การเลือกนายกคราวที่แล้วไม่ได้แพ้ชนะที่สว.มันแพ้ชนะกันด้วยเสียงสส.อยู่แล้ว ว่าพรรคไหนเขารวมเสียงได้มากกว่าพรรคนั้นก็ชนะ ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ว่า คนจะไปบอกว่าเป็นเพราะสว.จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะฉะนั้นคราวหน้าก็เหมือนกัน ปิดสวิทสว.ไม่มีสว.เลือกนายกก็ไม่มีความหมายเช่นกัน ปิดก็ปิดไปก็ไม่มีความหมายเช่นกันเพราะถ้าหากว่าเขาไม่สามารถรวมเสียงข้างมากในส.สได้ บริหารประเทศไม่ได้ ผ่านงบประมาณก็ผ่านไม่ได้ เพราะฉะนั้นบริหารประเทศก็ไม่ได้ ในระบบมีระบบถ่วงดุลกันอยู่แล้ว” นายแพทย์พลเดช กล่าว

 

ภาพ/ข่าว คณิต ไชยจันทร์
รายงานจากจังหวัดร้อยเอ็ด

You May Have Missed!

1 Minute
เศรษฐกิจ
“อลงกรณ์ พอใจ” เอฟเคไอไอบิสซิเนส ฟอรั่ม  ประสบความสำเร็จเชื่อมโยงธุรกิจไทย-เกาหลี บรรลุข้อตกลงจับคู่ธุรกิจการลงทุนกิจการเทคโนโลยีชีวภาพ-สุขภาพ-สิ่งแวดล้อมพร้อมขยายความร่วมมือกับโกลบอลESG
0 Minutes
ข่าวภูมิภาค
พิธีทำบุญสารทเดือนสิบ ตามโครงการเสริมสร้างจริบธรรมคุณธรรม เสริมสร้างความรักชาติ และเสริมสร้างวินัยแก่คนในชาติ ของกรมการปกครอง
1 Minute
ข่าวภูมิภาค
จังหวัดขอนแก่น จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ตามโครงการ “ปลูกต้นไม้ 1 คน 1 ต้น ฝนนี้”
0 Minutes
โรงพยาบาล
โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ได้รับโล่รางวัลเกียรติคุณ “โรงพยาบาลต้นแบบ ปีงบประมาณ 2566 ระดับ Platinum”