เกษตรฯ “เตรียมพร้อมรับมือฤดูฝนเต็มที่ หลังการจัดสรรน้ำฤดูแล้งจบตามแผนฯ
พร้อมเดินหน้าบริหารจัดการน้ำฝนเต็มศักยภาพสำรองน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้า
วันที่ 7 พ.ค.64 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุม “ปิดจ๊อบส่งน้ำฤดูแล้ง พร้อมเดินหน้ารับมือฤดูฝนปี 64” ผ่านระบบ VDO Conference โดยมีนายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน นางสาวสุกันยาณี ยะวิญชาญ รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา และผู้แทนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เข้าร่วม
นายเฉลิมชัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สิ้นสุดการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี 2563/64 (เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ย. 63 – 30 เม.ย.64) แล้ว ผลการจัดสรรน้ำฤดูแล้งทั้งประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 64) มีการใช้น้ำตลอดฤดูแล้งที่ผ่านมารวมทั้งสิ้นประมาณ 16,717 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 88 ของแผนฯ ซึ่งการใช้น้ำต่ำกว่าแผนวางไว้ เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา วางแผนจัดสรรน้ำไว้รวม 5,000 ล้าน ลบ.ม. โดยใช้น้ำจาก 4 เขื่อนหลักรวม 4,500 ล้าน ลบ.ม. อีกส่วนหนึ่งผันมาจากลุ่มน้ำแม่กลอง 500 ล้าน ลบ.ม. ผลการใช้น้ำตลอดฤดูแล้งรวมทั้งสิ้น 4,892 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 98 ของแผนฯ จึงทำให้ภาพรวมผลการจัดสรรน้ำในช่วงฤดูแล้งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากมีฝนตกบริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อน ส่งผลให้การใช้น้ำจากเขื่อนลดลง ที่สำคัญยังได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรในการนำน้ำจากแหล่งธรรมชาติในพื้นที่ของตน อาทิ บ่อยืม หนอง และบึงต่าง ๆ มาใช้ในการเพาะปลูก ทำให้การใช้น้ำเป็นไปตามแผนและเพียงพอ
สำหรับผลการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี 2563/64 ทั้งประเทศ มีการเพาะปลูกรวมทั้งสิ้น 5.95 ล้านไร่ (แผนวางไว้ 2.45 ล้านไร่) แบ่งเป็น ข้าวนาปรัง 1.90 ล้านไร่ พืชไร่-พืชผัก 0.55 ล้านไร่ เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยาไม่มีแผนการเพาะปลูกข้าวนาปรัง เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนมีไม่เพียงพอที่จะสนับสนุน แต่จากการสำรวจพบว่ามีการทำนาปรังประมาณ 2.79 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว 2.593 ล้านไร่ ส่วนใหญ่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ของตนเองทำการเพาะปลูก
อย่างไรก็ตามตลอดในช่วงฤดูแล้งที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างรัดกุม โดยจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และรักษาระบบนิเวศ เป็นหลัก ตามข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ ยังได้เดินหน้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยแล้งในพื้นที่ 56 จังหวัด 139 อำเภอ 220 ตำบล 344 หมู่บ้าน ด้วยการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำ 47 คัน คิดเป็นปริมาณน้ำกว่า 12.67 ล้านลิตร ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 433 เครื่อง แบ่งเป็น การสูบน้ำช่วยเหลือด้านอุปโภคบริโภคและการเกษตร คิดเป็นปริมาณน้ำกว่า 160 ล้าน ลบ.ม. และยังมีเครื่องจักรกลอื่น ๆ อีก 133 หน่วย ที่ส่งเข้าไปช่วยเหลือ รวมไปถึงการซ่อม/สร้างทำนบ/ฝาย รวม 36 แห่ง และการขุดลอกแหล่งน้ำอีก 34 แห่งด้วย
นอกจากนี้ กรมชลประทาน ยังได้ดำเนินการจัดจ้างแรงงานชลประทานทั่วประเทศ ในการดำเนินงานปรับปรุงซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบชลประทาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและประชาชนทั่วไป ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนถึงขณะนี้มีผู้เข้าร่วมรับการจ้างงานกว่า 63,088 รายแล้ว
ขณะที่การบริหารจัดการน้ำและการรับมือฤดูฝน ปี 2564 นั้น ได้วางมาตรการบริหารจัดการน้ำ ได้แก่ การจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศ การส่งเสริมการปลูกพืชฤดูฝนโดยใช้น้ำฝนเป็นหลักหลังกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการและมีฝนตกในพื้นที่สม่ำเสมอ รวมทั้งการบริหารจัดการน้ำท่าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนหรือแหล่งน้ำธรรมชาติให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย กำหนดคน และกำหนดเครื่องจักรเครื่องมือกว่า 5,935 หน่วย เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมกำชับไปยังโครงการชลประทานทั่วประเทศ ตรวจสอบสภาพความมั่นคงของเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง 437 แห่ง และอาคารชลประทานทั่วประเทศอีก 1,806 แห่ง ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งสำรวจสิ่งกีดขวางทาง และการกำจัดวัชพืชในแม่น้ำสายหลักและคูคลองต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ การบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์เก็บกัก (RULE CURVE) โดยพิจารณาปรับลดการระบายให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา พร้อมกับใช้อาคารชลประทานในการจัดการจราจรน้ำตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง
นายเฉลิมชัยบอกด้วยว่า ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความพร้อมทั้งในด้านเครื่องจักร เครื่องมือ และกำลังคน รวมถึงการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งได้มอบหมายให้กรมชลประทานกำหนดมาตรการจัดการน้ำและการรับมือฤดูฝนปี 2564 โดยกำชับให้คำนึงถึงการจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และส่งเสริมการปลูกพืชฤดูฝนโดยใช้น้ำฝนเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำให้บริหารจัดการน้ำตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ให้มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ประสานงานกับทุกภาคส่วน บูรณาการการทำงานร่วมกัน และเน้นย้ำการสื่อสารกับพี่น้องเกษตรกรและพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจ และบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบที่อาจเกินขึ้น รวมถึงสามารถบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด