ผลโควิคระบาดหนัก ตะลึงกาชาด ขาดแคลนโลหิตที่สุดในรอบประวัติศาสตร์  สภากาชาดไทยขอทุกจังหวัดผ่อนปรนให้ศูนย์รับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ ออกรับบริจาคโลหิตได้ เนื่องจากขาดแคลนโลหิตอย่างมาก

ผลโควิคระบาดหนัก ตะลึงกาชาด ขาดแคลนโลหิตที่สุดในรอบประวัติศาสตร์

สภากาชาดไทยขอทุกจังหวัดผ่อนปรนให้ศูนย์รับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ ออกรับบริจาคโลหิตได้ เนื่องจากขาดแคลนโลหิตอย่างมาก

 

นายกฤษฎา บุญราช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด  ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงนายกเหล่ากาชาดทุกจังหวัด ขอให้พิจารณาผ่อนปรนการเปิดรับบริจาคโลหิตเพื่อแก้ไขการขาดแคลนโลหิตเนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติรายงานว่า ได้ประชุมพิจารณาปัญหาโลหิตขาดแคลนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เพราะมีปัญหาจากการปรับแผนการออกหน่วยเคลื่อนที่ในส่วนภูมิภาค โดยหลายจังหวัดมีคำสั่งงดหน่วยเคลื่อนที่รับบริจาคทั้งหมดและหลายจังหวัดมีคำสั่งงดหน่วยที่มีผู้บริจาคมากกว่า 50 คน จึงเป็นผลให้ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการขาดเลือดมีจำนวนและความรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยโควิด-19 เสียอีก

ขณะเดียวกันทางศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติยังแจ้งว่า การพบผู้ป่วยเพียง 1-2 รายในระดับอำเภอ ไม่ควรงดรับบริจาคโลหิตทั้งอำเภอ แต่ควรสามารถจัดให้มีการรับบริจาคโลหิตได้ หากมีการคัดแยกกลุ่มเสี่ยงตามหลักการสอบสวนโรค หรือเว้นเฉพาะตำบลที่มีผู้ป่วย

สำหรับการรับบริจาคโลหิตมีอัตราความเร็วต่อเตียงอยู่ที่ผู้บริจาค 4 คน/1 ชั่วโมง/ เตียง ดังนั้นหากออกหน่วยเคลื่อนที่ 10-12 เตียง สามารถบริหารจัดการนัดหมายประชาชนแยกตามตำบลหรือหมู่ ให้เข้ามาในบริเวณพื้นที่บริจาคโลหิตได้ 50 คนต่อ 1 ชั่วโมง ดังนั้น หากจัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต 3 ชั่วโมง จะสามารถได้โลหิตถึง 80-120 ยูนิต โดยไม่ขัดต่อคำสั่งคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด ในช่วงที่ผ่านมา จังหวัดที่ให้งดหน่วยเคลื่อนที่ทั้งหมดยังคงมีโลหิตใช้ เพราะภาคบริการโลหิตพื้นที่ได้นำโลหิตที่ได้จากจังหวัดอื่นที่ไม่มีการงดหน่วยจ่ายไปให้ผู้ป่วยของจังหวัดที่งดออกหน่วยรับบริจาคโลหิต ขณะเดียวกันมีหลายจังหวัดที่ไม่งดหน่วยเคลื่อนที่ตั้งแต่การระบาดตั้งแต่ระลอกแรกถึงปัจจุบัน แต่ใช้การบริหารจัดการที่ดี โดยใช้สถานที่จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิตเป็นสถานที่โล่งกว้างและปฏิบัติตามมาตรฐานของศูนย์บริการโลหิตฯ ก็ไม่พบข้อมูลมีผู้ป่วยที่เข้าร่วมบริจาคโลหิตแล้วติดเชื้อซึ่งแนวทางนี้ถือว่า เป็นการบริหารจัดการรับบริจาคโลหิตที่มีประสิทธิภาพวิธีการหนึ่ง

ดังนั้นสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาดจึงขอให้นายกเหล่ากาชาดจังหวัดประสานงานกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดในฐานะเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในพื้นที่จังหวัดเพื่ออนุญาตให้เหล่ากาชาดจังหวัดและภาคบริการโลหิตพื้นที่ และหรือหน่วยงานใช้โลหิตเช่นโรงพยาบาล สถานพยาบาลในการพิจารณาเปิดหน่วยเคลื่อนที่ร่วมกันเพื่อรับบริจาคโลหิตตามแนวทางที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยแจ้งมาข้างต้นรวมทั้งให้ประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่มีกำลังพลในพื้นที่รวมทั้งภาคเอกชนที่มีกำลังเจ้าหน้าที่ เพื่อขอความร่วมมือในการจัดกำลังพล เช่นทหาร ตำรวจ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน(อส.)คนงานโรงงานอุตสาหกรรมหรือพนักงานบริษัทที่มีสุขภาพแข็งแรงรวมทั้งขอความร่วมมือจากนายอำเภอท้องที่เพื่อมอบหมายให้ปลัดอำเภอผู้รับผิดชอบประจำตำบลขอความร่วมมือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจัดประชาชนในตำบล หมู่บ้านหรือสมาชิกจิตอาสาพระราชทานในพื้นที่ มาร่วมกันบริจาคโลหิตโดยให้จัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 50 คนทยอยหมุนเวียนกันมาเป็นระยะๆหรือจัดเป็นห้วงเวลาที่กำหนดเป็นแผนการรับบริจาคโลหิตแต่ละจุดรับบริจาคโลหิตด้วยก็ได้ เพื่อรักษาระยะห่างทางสังคมตามาตรการของทางราชการด้วย

อย่างไรก็ตามสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาดทราบดีว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ภารกิจของสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดมีหลายประการและส่วนใหญ่เป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วน จึงขอให้ใช้การประสานงานกับหน่วยรัฐและภาคเอกชนที่มีจิตศรัทธาต่อพันธกิจของสภากาชาดไทยรวมทั้งประสานงาน เชิญชวน เครือข่ายของสภากาชาดไทยในพื้นที่เช่น กรรมการเหล่ากาชาดจังหวัด สมาชิกยุวกาชาด อาสายุวกาชาด อาสาสมัครสภากาชาดไทย เป็นต้น มาร่วมงานด้วย ทั้งนี้ขอสนับสนุนให้กำลังใจนายกเหล่ากาชาดจังหวัดตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องมา ณ โอกาสนี้ ทั้งนี้ด้วยความเสียสละของพวกเรา จึงขอให้พวกเราสามารถดำเนินงานผ่านอุปสรรค ปัญหาทั้งปวงไปได้ด้วยดีทุกจังหวัด.